“เพลงบอก” ทอกหัวได บอกแตกบ้านไหน ซวยกันไปทั้งปี

“เพลงบอก” ทอกหัวได
บอกแตกบ้านไหน ซวยกันไปทั้งปี

 

ผ่านหูบ่อยครั้งว่า “เพลงบอก” มีที่มาสองกระแส หนึ่งว่ามาจากกิริยาบอกศก บอกนักษัตร บอกลักษณะนางสงกรานต์ อีกข้างว่ามาจากนามเต็มคือ “กระบอก” ก่อนจะกร่อนเหลือ “บอก” ตามวิสัยชาวเรา แล้วเรื่องก็ห้วนอยู่เทียมนั้น

.

เพลงบอก

รศ.ประพนธ์ เรืองณรงค์ เล่าความไว้ในหนังสือตำนานการละเล่น และภาษาชาวใต้อย่างน่าสนใจหลายเรื่อง ที่เกี่ยวกับวรรคแรกท่านตั้งชื่อว่า “เพลงบอก การละเล่นที่กำลังจะสูญ”

.

เมื่อแรกไปรำโนราที่ปัตตานี ได้ยินลูกคู่รับบทเพลงทับเพลงโทนแบบเดียวกับที่ทอยเพลงบอก ตั้งข้อสังเกตไว้เดี๋ยวนั้นว่า เพลงบอกนี้ต้องแสดงความสัมพันธ์อะไรบางประการระหว่างชุมชนในรัฐโบราณเป็นแน่ รอยจางๆ ข้างปัตตานี อาจเป็นเค้าลางในประเด็นนี้ได้อย่างดี

.

“คณะเพลงบอกมีอย่างน้อย ๖-๗ คน

ประกอบด้วยแม่เพลง ลูกคู่

เครื่องดนตรีมี ฉิ่ง กรับ ปี่ ขลุ่ย และทับ”

.

วรรคนี้ของ รศ.ประพนธ์ฯ ทำให้ผุดภาพลูกคู่โนราขึ้นมาเทียบเคียง กับอีกอันคือเคยได้ยินว่ามีการแสดง “เพลงบอกทรงเครื่อง” เมื่อไม่นานมานี้ ทั้งภาพที่ผุดและข้อความที่ยกมา เข้าใจว่าคงออกรสไม่ต่างกันนัก เว้นเสียแต่เสียงกลองและโหม่ง ข้อนี้แสดงเส้นเวลาอย่างหยาบและพลวัตของเพลงบอกที่ชวนให้ต้องศึกษาต่อ

.

แปดบท

ในเล่มแสดงผังไว้แต่ไม่ได้ระบุชื่อฉันทลักษณ์ ด้วยเหตุที่จับด้วยฉันทลักษณ์ในหลักภาษาไทยใดไม่ลง จึงจะตู่เอาตามที่เคยได้ยินมาอีกว่าเป็นฉันทลักษณ์ที่เรียกกันในนครศรีธรรมราชว่า “แปดบท” อย่างเดียวกับที่เจ้าพระยานครศรีธรรมราช (น้อย) ให้นายเรือง นาใน นั่งท้ายช้างขับไปตามระยะทางตีเมืองไทรบุรีสมัยต้นกรุงรัตนโกสินทร์ แปดบทนี้ก็น่าสนใจใช่ย่อย ว่ากันว่าเป็นการละเล่นโต้ตอบแบบด้นสดกันไปมา ว่าแล้วก็ช่างมาคล้ายกับความทรงจำของหลายคนถึงการประชันปฏิภาณของเพลงบอกชั้นครูอย่าง “ปานบอด-รอดหลอ” และ “ปานบอด-เพลงบอกรุ้ง” ที่ รศ.ประพนธ์ฯ ยกในเล่มว่า

 

เพลงบอกปาน – เพลงบอกรุ้ง

เพลงบอกรุ้ง:

เราเปรียบปานเหมือนชูชก

มันสกปรกอยู่กลางบ้าน

เรื่องหัวไม้ขอทาน

ใครใครไม่รานหมัน

.

คนด้นเขาไม่เกรง

สำหรับนักเลงทุกวัน

แต่ว่าคนด้านเหมือนปานนั้น

ถึงฉันก็เกรงใจ

.

พัทลุงเมืองสงขลา

ตลอดมาถึงเมืองนคร

ถ้าปล่อยให้ปานขอก่อน

คนอื่นไม่พักไขว่

.

เพราะมันเป็นเชื้อพงศ์ชูชก

มันสกปรกจนเกินไป

จะไปที่ไหนเขาทั้งลือทั้งยอ

เรื่องที่หมันขอทาน

.

เพลงบอกปาน:

ฟังเสียงรุ้งคนรู้

พิเคราะห์ดูช่างหยิบยก

(ขาดวรรค)

.

เป็นชูชกก็รับจริง

เพราะว่ายิ่งเรื่องขอทาน

ทั้งพี่น้องชาวบ้าน

ทุกท่านก็เข้าใจ

.

แต่จะเปรียบรุ้งผู้วิเศษ

ให้เป็นพระเวสสันดร

ปานชูชกเข้ามาวอน

รุ้งให้ไม่เหลือไหร

.

ทั้งลูกทั้งเมียและเหลนหลาน

ครั้นชูชกปานขอไป

จะขอสิ่งใดรุ้งนาย

แกต้องให้เป็นรางวัล

.

เพลงบอกรุ้ง:

ก็ไม่เป็นพระเวสสันดร

เพราะจะเดือดร้อนที่สุด

กูจะเป็นนายเจตบุตร

ที่ร่างกายมันคับขัน

.

ควยยิงพุงชูชก

ที่สกปรกเสียครัน

ถือเกาทัณฑ์ขวางไว้

มิให้หมึงเข้าไป

.

เพลงบอกปาน:

ดีแล้วนายเจตบุตร

เป็นผู้วิสุทธิ์สามารถ

เป็นบ่าวพระยาเจตราช

ที่เขาตั้งให้เป็นใหญ่

.

ถือธนูหน้าไม้

คอยทำลายคนเข้าไป

เขาตั้งให้เป็นใหญ่

คอยเฝ้าอยู่ปากประตูปาน

.

คนอื่นมีชื่อเสียง

เขาได้เลี้ยงวัวควาย

แต่เจตบุตรรุ้งนาย

เขาใช้ให้เลี้ยงหมาฯ

.

มุตโต

เชาวน์ไวไหวพริบชนิดปัจจุบันทันด่วนนี้ ในวงศิลปินเรียกกันว่ามุตโต เข้าใจว่าหากแปลตามบริบทการใช้งานว่าคือการใช้ความสามารถในการแสดงแบบไม่ต้องเตรียมตัว ร้องกลอนกันสดๆ เล่นสด รำสด รากศัพท์เดิมของคำนี้คงมาจากภาษาบาลีว่า “มุทโธ” อันแปลว่า ศีรษะหรือเหงือก การแสดงชนิดด้นกลอนสด รำสด จึงบ่งบอกถึงการใช้ “ศีรษะ” อวดสติปัญญาและความสามารถของผู้แสดงกระมัง ที่สำคัญคือ จะเห็นว่าในการเปรียบเปรยนั้น ศิลปินต้องมีภูมิรู้ในเรื่องราวนั้นๆ อย่างดีและแตกฉานจึงจะสามารถแก้แง่ที่ถูกตั้งขึ้นให้คลายได้อย่างงดงาม

.

นอกจากบทเพลงบอกที่จำและถ่ายทอดกันมาแล้ว ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.พิเชฐ แสงทอง ได้กรุณาเล่าผ่านช่องแสดงความคิดเห็นในเฟซบุ๊คว่า “สมัยเด็กมีเพลงร้องตลกๆ กันว่า “เพลงบอกมาทอกหัวได มดคันข็อบไข หวาไหรเพลงบอก””

.

ตานี้มาที่ชื่อของ “เพลงบอก” เดิมส่วนตัวเทไปข้าง “บอกศักราช” มากกว่า “กระบอก” แต่ถัดนี้ไปอาจกลับลำด้วยจำนนต่อข้อมูลของ รศ.ประพนธ์ฯ บวกเข้ากับรูปการณ์บางอย่าง ดังจะได้กล่าวต่อไป

.

“คณะเพลงบอกจะมีกระบอกไม้ไผ่นัยว่าบรรจุน้ำมนต์ (อาจจะเป็นเมรัยก็ได้) ถือไปในวงด้วย…พวกเพลงบอกจะนำกระบอกไม้ไผ่ ไปกระแทกกระทุ้งตรงบันไดบ้าน เพื่อปลุกเจ้าของบ้านให้ตื่น ถ้ากระบอกแตกที่บ้านใด ถือว่าปีใหม่นั้นเจ้าของบ้านซวยตลอดปี”

.

วรรคของ รศ.ประพนธ์ฯ นี้ มาขมวดเข้ากับรูปการณ์เท่าที่สังเกตได้ ๒ อย่าง หนึ่งคือการเรียกการแสดงเพลงบอกว่า “ทอก” ซึ่งคืออาการพรรค์อย่างเดียวกับกระทุ้งที่ท่านว่า กับสองคือสำนวนที่คงค้างอยู่ในปัจจุบันที่ว่า “เพลงบอกทอกหัวได” ที่ช่างมาตรงกับขนบวิธีของนักเลงเพลงบอกแต่แรกนักฯ