สาวชุม-หนุ่มสุวรรณ ตำนานรักพระลากเมืองนคร

สาวชุม-หนุ่มสุวรรณ
ตำนานรักพระลากเมืองนคร

 

บ้านนาพรุ

ในครั้งเมื่ออดีตกาล บ้านนาพรุ มีเศรษฐีคนหนึ่งที่มั่งคั่ง ร่ำรวยเป็นอย่างมาก ชาวบ้านจึงขนานนามกันว่า “เศรษฐีบ้านพรุ” ท่านกับภรรยามีบุตรสาวที่รักปานแก้วตาดวงใจ มีนามว่า “ชุม” สาวชุม จึงเป็นที่ หมายปองของชายหนุ่มทั้งหลายโดยรอบบริเวณนั้นรวมถึง “หนุ่มสุวรรณ” บุตรชายของเศรษฐีบ้านท้ายสำเภา  ผู้มีฐานะทัดเทียมกับเศรษฐีบ้านนาพรุ หนุ่มสุวรรณได้เจอกับสาวชุมครั้งแรก  ก็ได้หลงรัก และ   มีใจให้สาวชุม วันเวลาผ่านไปหลังจากนั้นทั้งสองก็รักกัน ด้วยความรักที่มีให้หนุ่มสุวรรณกับสาวชุมจึงได้ตกลงคบหากัน โดยเป็นที่ทราบกันของเศรษฐีทั้งสองฝ่าย ด้วยความรักที่มีให้กันเป็นเวลานาน  หนุ่มสุวรรณ จึงบอกกับบิดา มารดาว่า จะขอหมั้นหมายแต่งงานกับสาวชุมลูกเศรษฐีนาพรุ  ทางฝ่ายสาวชุมเมื่อทราบข่าว ถึงวันที่หนุ่มสุวรรณจะมาขอหมั้นหมายแต่งงานกับลูกสาว อันเป็นที่รัก ก็ได้ตอนรับเป็นอย่างดี  ด้วยเหตุที่ว่าหนุ่มสุวรรณเป็นคนดี มีคุณธรรมนำชีวิต เศรษฐีนาพรุ บิดา มารดา ของสาวชุมจึงตกลงกันยกสาวชุมเป็นคู่หมั้น หนุ่มสุวรรณ ก่อนแต่งงานสมรส

.

ไข้น้ำระบาด

หลังจากนั้นวันเวลาผ่านไปไม่นาน ได้เกิดโรคระบาดอย่างหนัก “ ไข้น้ำ ” หรือ ไข้ทรพิษ ขึ้นในแถบบ้านนาพรุและบริเวณใกล้เคียง ปรากฏว่าสาวชุม ได้ล้มป่วยลงด้วยโรคระบาด จนสุดความสามารถ ที่หมอทั้งหลาย จะพยายาม เยียวยารักษาให้หายได้ แต่ในความทุกข์  ของสาวชุมนั้น  หนุ่มสุวรรณ ซึ่งเป็นคนรัก ก็ยังคงเคียงข้าง ไม่ทิ้งไปไหน ไม่รังเกลียดคนรัก   แม้คนรักจะมีแผลอันน่าเกลียด มีร่างกายที่ซีดผอมจากพิษของโรคร้าย หนุ่มสุวรรณก็ดูแลเคียงค้างจนวินาทีลมหายใจสุดท้ายที่สาวชุม ซึ่งเป็นคนที่รักมาก ของตัวเองจากไป  จนทำให้หนุ่มสุวรรณนั้นเกิดความเสียใจ  ซึมเศร้า เป็นอย่างมาก เพราะรักแท้ที่มีให้กับสาวชุม หนุ่มสุวรรณจึงตรอมใจลง จนร่างกายป่วยไข้   และสิ้นชีพตามสาวชุมคนรักในเวลาแค่ไม่กี่วัน

.

สาวชุม หนุ่มสุวรรณ

การจากไปของชายหนุ่ม และ หญิงสาว คู่นี้ ได้สร้างความเสียใจแก่บิดา มารดาทั้งสองฝ่ายเป็นอย่างมาก เศรษฐีนาพรุกับเศรษฐีท้ายสำเภา จึงยกที่ดินส่วนหนึ่งสร้างวัด และให้นายช่างหล่อพระลากกลุ่มหนึ่ง มาสร้างพระพุทธรูป เพื่ออุทิศบุญกุศลให้บุตรธิดาทั้งสอง โดยได้หล่อพระพุทธรูปปางอุ้มบาตร พระเกศรัศมียอดเปลวเพลิงไว้องค์หนึ่ง แต้มปาก ทาเล็บทั้งหมดให้เป็นสีแดง เพื่อเป็นพระพุทธรูปแทนตนของ “ สาวชุม ” บุตรสาวเศรษฐีบ้านนาพรุ และได้สร้างพระพุทธรูปปางอุ้มบาตรอีกองค์หนึ่ง ทรงเครื่อง เพื่อให้เป็นพระพุทธรูปแทนตัวของ “หนุ่มสุวรรณ” เมื่อช่างหล่อพระได้ขัดสีตบแต่งเรียบร้อยแล้วเศรษฐีทั้งสองก็ได้นิมนต์ พระภิกษุมารับถวายพระพุทธรูป พร้อมกับอุทิศผลานิสงส์ให้ไปถึงสาวชุม และ หนุ่มสุวรรณ บุตรธิดาผู้วายชนม์

.

พระแม่ชุม

ภายหลังจากทำพิธีอุทิศพลานิสงส์ พระลาก พระพุทธรูปปางอุ้มบาตร ที่เศรษฐีนาพรุ ได้สร้างถวายวัดนั้น  ได้เกิดปาฏิหาริย์ขึ้น ในตอนนั้นต่อหน้าผู้คนเป็นจำนวนมาก ที่พระพุทธรูป มีพุทธลักษณะเป็นตำหนิ เหมือนรอยแผลเป็นก่อนที่สาวชุม  จะเสียชีวิต เศรษฐี และชาวบ้านทุกคนที่อยู่ตรงนั้นต่างตกตลึง เมื่อเห็นพระพุทธรูป  มีพุทธลักษณะ เหมือนสาวชุม ด้วยความศรัทธาของชาวบ้านนาพรุ-บ้านท่าช้าง-บ้านท้ายสำเภา หลังจากนั้นชาวบ้านจึงเรียกพระลากองค์นี้ว่า แม่ชุม หรือ พระแม่ชุม

.

พระลากแม่ชุมวัดท่าช้าง อยู่คู่กับชาวนาพรุ-ท่าช้าง เป็นเวลายาวนาน มีการเชิญลงมาสรงน้ำในช่วงเทศกาลวันสงกรานต์ และ ในช่วงเทศกาลออกพรรษาของทุกปี พระลากแม่ชุมได้รับความศรัทธา นับถือ จากผู้คนในย่านอำเภอพระพรหม ว่ามีความศักดิ์สิทธิ์ใน

.

ด้านความรัก = ถ้าใครได้มากราบไหว้บูชา จะสมหวังในความรักที่มั่นคง มีศุภผลดลบันดาลให้ครอบครัวอยู่เย็นเป็นสุข คนที่เป็นโสดอยู่ ก็จะมาบูชาเพื่อหาเนื้อคู่ที่ดี เหมาะกับตน เนื่องจากพระพุทธรูปองค์นี้ เป็นตัวแทนแม่ชุม-พ่อสุวรรณ ที่ทั้งสองมีรักแท้ ไม่ทอดทิ้งกัน จนวันตายจาก ก็ต้องไปด้วยกัน

.

ด้านค้าขาย = พ่อค้า แม่ขาย ก็จะนิยมมาสักการะพระแม่ชุม เนื่องจากเชื่อว่า พระแม่ชุมเป็นบุตรีของเศรษฐี จึงมีความนิยมว่า ถ้าขอพรพระแม่ชุมแล้ว จะทำมาค้าขาย อะไรก็ดี และมีความมั่งคั่งมีอัตภาพความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น

.

ด้านเมตตา = ชาวบ้านจะมาบนบาน ขอให้พระแม่ชุมช่วยในด้านต่าง ๆ เช่น ขอโชคลาภ ขอให้สำเร็จในการงาน  ขอให้สอบผ่าน  ขอให้มีงานทำ ขอให้ของที่หาย ได้กลับคืนมา

.

ดังนั้นพระแม่ชุม แห่งวัดท่าช้าง จึงมีผู้ศรัทธาเข้ามาสักการะอยู่บ่อย ๆ เพราะเหมาะกับการบูชา แก่ผู้ที่ต้องการแสวงหาความมั่นคงในความรัก ผู้ที่ประกอบอาชีพค้าขาย รวมถึงผู้ที่ต้องการความอบอุ่นในครอบครัวให้บังเกิดผลประสบความสำเร็จดั่งปรารถนา เมื่อชีวิตส่วนตัว และชีวิตในหน้าที่การงานสมบูรณ์พร้อม ความสุขที่ยั่งยืนก็พร้อมที่จะบังเกิดขึ้น เป็นความสุขที่ยิ่งใหญ่ที่ ปุถุชนพึงควรมี เพื่อจะก้าวหน้าไปทั้งทางโลก และ ทางธรรม ดั่งพระแม่ชุม วัดท่าช้าง และ พระพุทธเศรษฐีศรีสุวรรณ วัดท้ายสำเภา ซึ่งเป็นตำนาน พระลากคู่รัก เมืองนคร ที่อยู่คู่วัด คู่บ้าน คู่เมือง เสมอมา ถึงแม้ว่าจะอยู่คนละวัด แต่ดวงจิตที่ยังคงมั่นในรัก และผูกพัน ก็คงยังอยู่คู่กัน ให้เป็นที่กล่าวขวัญเป็นที่สักการบูชา ของลูกหลานชาวพระพรหมเป็นเวลาหลายร้อยปี สืบไป

ภาพและข้อมูลจาก Facebook : วัดท่าช้าง นครศรีธรรมราช

ตำนานร่อนพิบูลย์: พระลากสองกษัตริย์ วัดหนา และเจ้าฟ้าทรงจระเข้

ตำนานร่อนพิบูลย์:
พระลากสองกษัตริย์ วัดหนา และเจ้าฟ้าทรงจระเข้

เมื่อแรกขึ้นล่องด้วยรถไฟ มักเลือกที่นั่งให้ติดหน้าต่างไว้เสมอ ทัศนะตอนมองออกไประหว่างโดยสารอยู่บนราง ทำให้สองข้างทางดูคล้ายภาพที่กำลังถูกดอลลี่ ส่วนเพลงประกอบและคำบรรยายแล่นแปลบปลาบอยู่แล้วในหูในหัวตามนิสัยพวกมีจินตนาการสูง

.

เส้นทางรถไฟสายแยกจากเขาชุมทองขึ้นไปจนสุดที่นครศรีธรรมราชนั้น ว่ากันว่าเป็นคุณอันประเสริฐของท่านเจ้าคุณผู้เฒ่าเมื่อสถิตที่พระรัตนธัชมุนีศรีธรรมราช สองฟากยังเพียบพร้อมดีด้วยรอยเจริญแรกนั้นกับที่ตกค้างอยู่ก่อนหน้า ทั้งชุมชน โรงเรียน และวัดวาอาราม

.

วัดหนา

วัดหนา อยู่ในเขตหมู่ที่ ๕ ตำบลเสาธง อำเภอร่อนพิบูลย์ จังหวัดนครศรีธรรมราช ปัจจุบันมีชื่ออย่างไทยๆ ว่า “วัดสระแก้ว” คำว่า “หนา” นี้ ได้ความจากพระครูปลัดธงชัย วิปุโล เจ้าอาวาส ว่ามาจากรูปการณ์ที่มีคนอาศัยอยู่กันอย่างหนาแน่น

.

ท่านครูยังเล่าต่อไปอีกว่า บริเวณตั้งวัดนี้เป็นโคกสูง แต่ก่อนเป็นที่รกร้างช้างนอนมีน้ำรอบ คลองโคกครามเป็นเส้นสัญจรหลักเข้านอกออกใน มีเขามหาชัยเป็นหัวท่ากับทะเลหลวงเป็นปากบาง ดูเหมือนว่าคลองมีชื่อนี้จะเป็นที่มาของตำนานคู่วัดเสียด้วย

.

เล่าว่า สองเจ้าฟ้าพระนามลำลองว่าวิเวกและวิวง หนีราชภัยเมื่อสิ้นแผ่นดินพระเจ้าไสยลือไทผู้พระราชบิดาลงสำเภาใช้ใบมาจนถึงอ่าวนครศรีธรรมราช ล่องขึ้นไปจนถึงอู่ตะเภาแล้วแยกลงโคกคราม

.

ครั้นเห็นตำบลหนึ่ง เป็นที่สัปปายะสถานก็ผนวชบวชพระองค์ลงทรงศีล ส่วนเจ้าฟ้าวิวงผู้น้องล่องไปตะวันออกต่อแล้วจึงเลือกดอนหนึ่งขึ้นกอปรกิจเดียวกัน

.

เจ้าฟ้าทรงจระเข้

ลือกันติดปากจนเดี๋ยวนี้ ว่าพระน้องพระพี่เมื่อจะไปมาหาสู่กันนั้น ต่างกำหนดจิตเรียกเอาพระยากุมภีลชาติขึ้นมาเป็นพาหนะ ด้วยว่าคลองโคกครามนี้ก็เช่นเดียวกันกับทุกคลอง คือเป็นที่อาศัยของจระเข้ และดูเหมือนว่ายิ่งใกล้บ้านเรือนผู้คนก็ยิ่งชุกชุม บุญญานุภาพที่ต่อปากกันไปในเรื่องนี้ ทำให้ทั้งสองพระองค์เป็นที่เคารพนับถือโดยดุษณี

.

ท่าน้ำหน้าบ้านต่างผูกกระดิ่งไว้ เมื่อเจ้าขุนดำจระเข้ทรงว่ายไปถึงก็จะกระทบกระแทกพอให้กระดิ่งสั่นเป็นสัญญาณว่าเสด็จออกรับบิณฑบาตถึงหน้าเรือนแล้ว ส่วนเมื่อฤดูแล้งเล่ากันว่าทรงเสือ แต่ไม่ได้บอกว่าจะมีอะไรเป็นสัญญาณ คงเป็นเสียงคำรนอ่อนๆ ในลำคออย่างวิสัยแมวใหญ่กระมัง

.

โพธิ์พุ่มหนึ่งเล่าว่าเคยเป็นที่ปักกลดทรงศีล แต่แรกเป็นต้น “บองยักษ์” เมื่อตายลงโพธิ์และไทรขึ้นโอบแทน โบสถ์หันหน้าไปทางทิศตะวันออก ภายในประดิษฐานพระประธานองค์หนึ่ง กับองค์ปูนปั้นขนาดย่อมอีก ๔ มีแผ่นสังกะสีจารึกว่าซ่อมใหญ่หลังพายุแฮเรียต

หน้าโบสถ์มีพระเจดีย์งามอยู่สามองค์ หัวนอนย่อมุมว่าเป็นที่เก็บกระดูกเจ้าขุนดำจระเข้ทรง องค์กลางทรงพระอัฐิเจ้าฟ้าวิเวกเป็นอย่างพระธาตุนครแต่เอวคอดไร้เสาหาน เบื้องตีนนอนรักษาเถ้าอังคารของพระอุปัชฌาย์ทัด

.

พระลากสองกษัตริย์

มรดกตกทอดสำคัญคือพระลากคู่ขวัญ มีชื่ออย่างทางการว่า “พระพุทธชัยมงคล” เล่าว่าแรกนั้นมีอยู่ ๓ ทอง ๑ เงิน ๑ สำริด ๑ องค์ทองเสด็จโดยสารรถไฟไปวัดพระมหาธาตุเสียนานแล้ว องค์สำริดทรงเทริดถมเงินอย่างนคร องค์เงินหล่อตันทั้งองค์ มีจารึกฐานระบุบอกว่าหลวงพรหมสุภา สร้างไว้เมื่อ พ.ศ. ๒๔๑๐

.

ฟังไปเพลินไป ประเด็นที่ค้างใจเก็บตั้งไว้เป็นข้อสังเกตส่วนตัว เช่นว่า เส้นทางน้ำ ความสัมพันธ์ระหว่างสุโขทัยกับนครศรีธรรมราช ตัวตนของเจ้าฟ้ามีชื่อทั้ง ๒ วัดพี่ – วัดน้อง และสถาปัตยกรรมที่พบ เป็นอาทิฯ

ชักพระ(ไม่ได้)มีหนเดียว ตำนานพระลาก ตะเฆ่ และเกลียวเชือก

ชักพระ(ไม่ได้)มีหนเดียว
ตำนานพระลาก ตะเฆ่ และเกลียวเชือก

ประเพณีชักพระ

หลังจากได้ฟังที่มาของประเพณีชักพระจากผู้ร่วมเสวนาทั้ง ๒ ท่าน ผู้เขียนก็เปิดประเด็นด้วยการลองตั้งข้อสังเกตดูเล่นๆ ไว้ เป็นหลายขยัก เช่นว่า คำถามที่ควรจะมีกับประเพณีชักพระอาจต้องต่อออกไปอีก ๒ ข้อ จากที่ตั้งลูกขี้ไว้ที่ ชักพระทำไม ? เพิ่มด้วย ชักอย่างไร ? และ ชักแล้วจะได้อะไร ? ขยักต่อมาเป็นรอยที่เห็นเติมขึ้นเป็นสาม คือ พราหมณ์ พุทธ และพื้นถิ่น สุดท้ายคือขยักเรื่องวาระและเวลาในการชักที่ดูเหมือนว่าจะไม่ใช่แค่เดือนสิบเอ็ด แรมค่ำ อย่างที่เราเคยเข้าใจไว้

.

เมื่อฟังว่าไอเดียของชักพระมาแต่พิธีแห่เทพเจ้าของพราหมณ์ ก็พลอยทำให้เป็นข้อมูลไปสนับสนุนว่า แต่เดิมเรื่องของหมุดเวลาคงยืดหยุ่นไปตามบริบทด้วย คล้ายกับที่พราหมณ์จะอารตีเทพเจ้าพระองค์ใดก็ต้องเนื่องมาจากฉากในเทพปกรณัมของเทพเจ้าพระองค์นั้น ๆ ตานี้เมื่อคนพื้นเมืองยังนับถือผีและธรรมชาติอยู่ก็อาจจะเป็นไปได้ว่า หมุดหมายของเวลาที่จะแห่พระจึงต้องขึ้นอยู่กับภูมิอากาศ การผลิช่อออกรวงของบรรดาผลอาสิน หรือฤดูกาลเก็บเกี่ยว เป็นต้น ตรงส่วนนี้เองทำให้เราพอเห็นเค้าลางของการลากพระเดือนห้า และเมื่อคืนก่อนที่เพิ่งได้ยินมาจากท่านอาจารย์เฉลิม จิตรามาศ ประชาสัมพันธ์วัดพระมหาธาตุ วรมหาวิหาร ตอนสัมภาษณ์ความทรงจำว่าด้วยเรื่องลากพระ ท่านก็เปรยว่า เดือนสิบสองตอนน้ำทรง สมัยเด็กยังเคยเห็นเรือพระลอยลำอยู่กลางน้ำ ซึ่งไม่ได้เป็นการค้างไว้จากเดือนสิบเอ็ด แต่เป็นการชักลากออกมาในเดือนสิบสองเพื่อส่งน้ำ ลากพระจึงยืดหยุ่นได้ตามเป้าประสงค์ของคนและเจตจำนงของการลาก

.

ความสนุกอยู่ตรงที่ เราจะเริ่มเห็นเส้นเวลาคร่าว ๆ ของชักพระ

จากรอยพรามณ์ ถึงคนพื้นเมือง แล้วมาสู่วิถีพุทธในแบบฉบับชาวใต้

รอยพราหมณ์ ก็จากเค้าโครงของพิธีกรรมการแห่เทพเจ้า

มาถึงคนพื้นเมือง ก็ที่เชื่อมเอาธรรมชาติเข้าไปผูกโยง

ส่วนวิถีพุทธในแบบฉบับชาวใต้ ก็คือการสร้างชุดความรู้ว่าด้วยการจำลองพุทธประวัติฉากเสด็จจากดาวดึงส์ไปเป็นความหมายให้กับประเพณี

.

ทั้งสามส่วนนี้ จะมีส่วนของคติชนเข้าไปจับ แต่ถ้าจะลองเลาะออกให้เห็นเพียงแค่ปฏิบัติการในชีวิตประจำวันดูอย่างสามัญๆ เลย ก็ให้ความน่าสนใจไม่แพ้กัน ถ้าลองเอากรอบของพิธีกรรมออก เราก็จะเห็นทักษะในการเคลื่อนย้ายสิ่งของของมนุษย์ ชักพระบก คือการเคลื่อนย้ายพระไปทางบก ชักพระน้ำก็คือการเคลื่อนย้ายไปทางน้ำ พออธิบายมาถึงตอนนี้หลายท่านคงนึกขึ้นได้หรือไม่ก็เคยผ่านตาข้อมูลการชะลอพระพุทธรูปสำคัญจากกรุงเก่าลงมากรุงเทพ อันนั้นก็ถือว่าลากพระ ที่เอกสารโบราณเรียกอาการอย่างนั้นว่า “ชัก”

.

ตานี้ในปัจจุบันจะมาเป็น “ลาก” หรือกำลังมีการถกกันว่าควรใช้คำใด อันนี้ก็สุดแท้แต่จะมีฉันทามติ  เพราะฝ่ายที่ใช้ “ชัก” ก็จะมีหลักฐานจากปากคำที่เป็นลายลักษณ์อักษร ส่วนฝ่าย “ลาก” ก็อ้างอิงจากคำเรียก “พระลาก” จึงว่าควรเป็น “ลากพระ” แต่ทั้งนี้และทั้งนั้น ในภาษาพูดเดี๋ยวนี้ ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าเรายังใช้ปนกันอยู่ รวมถึงตัวผู้เขียนเองก็ตาม

.

ตานี้กลับมาที่ ชักพระที่ไม่ได้เนื่องในประเพณีกัน โดยจะขอละของทางภูมิภาคอื่นไว้ ที่นครศรีธรรมราชมีหลักฐานฉบับหนึ่งเป็นพระราชหัตเลขาในพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๖ เมื่อครั้งดำรงพระอิสริยยศเป็นสมเด็จเจ้าฟ้ามหาวชิราวุธ สยามกุฎราชกุมาร ซึ่งถวายรายงานพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ราวปีพุทธศักราช ๒๔๕๒ กล่าวถึงการเชิญพระบรมราชาไว้อย่างน่าสนใจว่า

.

“เมื่อวันอังคาร ที่ ๒๕ พฤษภาคม ร.ศ.๑๒๘ เวลาบ่ายได้ขับรถไปตามถนนรอบกำแพงเมือง ไปนั่งมุขพระธรรมศาลา ในวัดพระบรมธาตุ ดูแห่พระพุทธรูป ซึ่งเรียกว่าพระบรมราชา พระนั้นได้เชิญขึ้น “บุษบกวางบนตะเค่” ให้คนฉุดมา คนที่ฉุดนั้นไม่ใช่แต่เฉพาะชายฉกรรจ์ ทั้งคนชรา เด็ก และผู้หญิงก็ช่วยกันฉุดด้วยเพื่อเอาบุญ เดิมพระองค์นี้ฝังอยู่ในกลางทุ่ง มีผู้ไปขุดพบเข้า จึงเอาไปประดิษฐานไว้ที่วัดนอกเมือง พระองค์นี้มีชื่อเสียงว่าปฏิบัติสับประดนต่างๆ มีขึ้นล่วงเรือนเขาบ้าง ขึ้นหาลูกสาวเขาบ้าง ตามเรื่องว่าไล่กันมาถึงวัด เห็นผู้ร้ายหายเข้าไปในพระวิหารพระบรมราชา ผู้ที่ไล่วิ่งตามเข้าไปยังได้เห็นโคลนเปื้อนพระบาทอยู่ ถึงกับล่ามโซ่ไว้ ต่อมาเมื่อเร็วๆ นี้ จึงจับตัวผู้ร้ายได้ เรื่องราวก็จบลง แต่ที่แลไม่เห็นนั้น คือเหตุไฉนจึงอุสาหะมีคนเชื่อได้ ดูไม่น่าเชื่อเลยว่าพระพุทธรูปจะเที่ยวเล่นซุกซนได้เช่นนั้น ฝ่ายเจ้าผู้เป็นต้นคิด ซัดพระพุทธรูปขึ้นด้วยนั้น ก็ควรจะยอมรับว่ามันช่างรู้อัทยาไศรยของเพื่อนกันดีจริงๆ”

.

ประเด็นที่เห็นจากบันทึกฉบับนี้ มีหลายประการ เช่นว่า

 

“บุษบกวางบนตะเค่”

อันนี้หมายถึง “พนมพระ” เหตุที่ไม่เรียกอย่างนั้นเพราะเข้าใจว่าไม่มีผู้ถวายรายงาน จึงทรงพรรณนาลักษณะไว้ตามที่ได้ทอดพระเนตรและทรงคุ้นเคย ข้อนี้เป็นประโยชน์มาก เพราะแม้จะไม่ได้เห็นรูปพนมพระนั้น แต่ทำให้เข้าใจว่าครึ่งล่างคือ “ตะเฆ่” ที่ในพจนานุกรมออนไลน์หลายแหล่งให้ความหมายไว้ค่อนข้างใกล้เคียงกันว่า “เครื่องลาก เข็น หรือบรรทุกของหนัก รูปเตี้ย ๆ มีล้อ ราง หรือเลื่อน,แม่แรงชนิดหนึ่ง” (LONGDO Dict) และครึ่งบนเป็นบุษบก

.

“คนที่ฉุดนั้นไม่ใช่แต่เฉพาะชายฉกรรจ์ ทั้งคนชรา เด็ก และผู้หญิงก็ช่วยกันฉุดด้วยเพื่อเอาบุญ

บรรยากาศของการ “เอาบุญ” ร่วมกัน เห็นความคึกคักคึกครื้น เกลียวเชือกกลายเป็นพื้นที่ทางสังคมที่ใช้ “บุญ” เป็นเครื่องทลายเส้นแบ่งด้านเพศสภาพโดยสมบูรณ์

.

“เดิมพระองค์นี้ฝังอยู่ในกลางทุ่ง มีผู้ไปขุดพบเข้า จึงเอาไปประดิษฐานไว้ที่วัดนอกเมือง

.

ตำนานพระลาก

วรรคนี้อาจเป็นวรรคทองที่ทำให้เห็นว่าตำนานพระลากมีการใช้โครงเรื่องที่ใกล้เคียงกัน คือเริ่มที่เป็นของสำคัญสมบัติของชนชั้นสูงแล้วมีเหตุให้อันตราธาน จนไปพบในพื้นถิ่นใดพื้นถิ่นหนึ่ง บ้างก็ว่าผุดขึ้นกลางท้องไร่ท้องนา บ้างก็ว่าลอยน้ำ จากนั้นมีพิธีกรรมของคนพื้นถิ่นนั้นเพื่อเชิญขึ้นประดิษฐาน ณ ที่อันควร แล้วถวายพระนามให้กับพระพุทธรูป ลางองค์เป็นสตรีนาม ในขณะที่ลางองค์เป็นบุรุษนาม

.

อย่างที่ได้จั่วหัวไว้แต่ต้นจากข้อสังเกตเรื่องรอยทั้งสามแล้ว ถ้าลองคลี่โครงเรื่องตำนานพระลากออกดู เราจะเห็นมือของคนพื้นถิ่นที่พยายามเข้ามากระชับความหมาย ด้วยวิธีการนิยามความหมายของรูปสัญญะขึ้นใหม่ ซึ่งแต่เดิม  “พระพุทธรูป” หมายถึง “พระพุทธเจ้า” แต่เมื่อผ่านพิธีกรรมตั้งแต่การเชิญขึ้น บางแห่งว่ามีทำขวัญ แล้วถวายนาม พระพุทธรูปนั้นก็จะหมายถึงสิ่งศักดิ์สิทธิ์ประจำพื้นถิ่นนั้นๆ ไปทันที ส่วนข้อที่ว่าลางองค์เป็นสตรีนามนั้น ก็อาจตอบอย่างเร็วและลวกไว้ว่าคงขึ้นอยู่กับการเคารพนับถือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ของแต่ละถิ่นไป หรือจะใช้แนวคิดเรื่องคติผู้หญิงเป็นใหญ่และเคยเป็นหัวหน้าผู้ประกอบพิธีกรรมก็ยังไม่ขัด เพราะส่วนตัวยังไม่ได้ศึกษาอย่างลึกซึ้งจริงจังมากพอ

.

สิ่งที่เห็นต่อหลังจากการถวายนาม คือธรรมเนียมเรื่อง “คู่” ของพระลาก ทั้งคู่ขวัญและคู่พี่น้อง ที่ไม่ว่าจะเป็นการจับคู่กันในลักษณะใดก็คงสื่อแสดงเครือข่ายความสัมพันธ์ในระดับพื้นที่ ส่วนจะเกี่ยวดองกันในรูปแบบอย่างหัวเกลอ คู่การค้า หรือเครือญาติ อันนี้อาจต้องลองเจาะกรณีศึกษาเป็นแห่ง ๆ ไป

.

ประเด็นสุดท้ายคือวันที่ที่ลงไว้ว่าตรงกับ “วันอังคาร ที่ ๒๕ พฤษภาคม ร.ศ.๑๒๘” ลองเปิดปฏิทินร้อยปีแล้วไปตกเอาเดือนเจ็ด ซึ่งไม่ใช่ทั้งเดือนสิบเอ็ด เดือนห้า หรือเดือนสิบสอง ส่วนตัวคิดว่าประเด็นนี้น่าสนใจมาก เพราะสาระสำคัญของชักพระก็คือการ “ชักพระ” แต่ดูเหมือนว่าชักพระที่เรารับรู้และเข้าใจกันเดี๋ยวนี้ จะเป็นชักพระที่ผ่านกระบวนการ “เลือก” ซึ่งหมายความว่าอีกหลายชักพระถูก “ตีตก” และทำให้กลายเป็นชักพระของคนเล็กคนน้อย หากจะลองย้อนกลับไปมองประเด็นการถวายนามอย่างสามัญให้กับพระพุทธรูปและตำนานพระลาก เป็นไปได้หรือไม่ที่วิธีการนี้ จะถูกใช้เป็นกลยุทธ์ของคนพื้นถิ่นในการสร้างตัวตนและแย่งชิงเอาความหมายของชักพระกลับมาสู่คนพื้นเมืองเดิม ในท่ามกลางการขับเน้นด้วยฉากจำลองเสด็จดาวดึงส์เพื่อยื้อหมุดเวลาไว้ที่แรมค่ำหนึ่งเดือนสิบเอ็ดของพระพุทธศาสนาที่มาใหม่ฯ

 

ปล. บทความนี้เป็นส่วนหนึ่งและผลจากการประมวลความคิดหลังจากการเสวนาออนไลน์เรื่อง “ประเพณีชักพระ” เมื่อวันที่ ๒๒ ตุลาคม ๒๕๖๔ ที่ได้รับเชิญจากอาจารย์ธีรพันธุ์ จันทร์เจริญ ผู้อำนวยการสำนักศิลปะและวัฒนธรรม มหาวิทยาลัยราชภัฏสุราษฎร์ธานี จึงมีข้อจำกัดในการคิดและเขียนอยู่มาก และหากธุระเรื่องวิทยานิพนธ์ทุเลาลง คงได้เวลาค้นและเรียบเรียงใหม่อย่างตั้งใจฯ