คำอธิษฐาน บนยอดพระธาตุเมืองนคร

ส่วนยอดของพระบรมธาตุเจดีย์นครศรีธรรมราชเป็นเครื่องมหัฆภัณฑ์ ประกอบด้วยวัตถุห้อยแขวนประเภทเครื่องประดับชนิดต่างๆ ปลายสุดประดิษฐ์อัญมณี แก้ว และหินสีธรรมชาติเป็นทรงพุ่มข้าวบิณฑ์ประดิษฐานไว้ ส่วนปลีสวมด้วยแผ่นทองคำร้อยรัดเข้าด้วยกันเป็นรูปทรงกรวย ทั้งมีจารึกและไม่มีจารึก
.
ในส่วนจารึกเท่าที่มีการพบและอ่าน-แปลมีทั้งหมด ๔๐ แผ่น น้ำหนักรวม ๔,๒๑๗.๖ กรัม มีลักษณะเป็นทองคำแผ่นบางรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า แต่ละแผ่นมีขนาดและน้ำหนักไม่เท่ากัน บริเวณขอบจารึกทุกแผ่นมีรอยเย็บต่อไว้ด้วยเส้นด้ายทองคำรวมเป็นผืนใหญ่ ปนอยู่กับแผ่นทองพื้นเรียบ ไม่มีอักษรจารึก และแผ่นทองที่เขียนด้วยเหล็กแหลมเป็นลายเส้นพระพุทธรูปและรูปเจดีย์ทรงต่างๆ สภาพโดยทั่วไปชำรุด มีรอยปะเสริมส่วนที่ขาดด้วยแผ่นทองขนาดต่างๆ บางตอนมีรอยการเจาะรูเพื่อประดับดอกไม้ ทอง และอัญมณี เป็นต้น
.
นอกจากนี้ในบริเวณแกนปลียอดพระบรมธาตุเจดีย์ซึ่งเป็นโลหะก็มีจารึกอยู่ช่วงใต้กลีบบัวหงาย ต่ำลงไปประมาณ ๑.๘๐ เมตร เป็นการจารึกรอบแกนปลีจำนวน ๒ บรรทัด แต่ปัจจุบันถูกหุ้มด้วยแผ่นไฟเบอร์กลาส เพื่อเสริมความมั่นคงให้แก่โครงสร้างยอดเจดีย์ จารึกดังกล่าวจึงถูกปิดทับไปด้วย จึงมีการอ่าน-แปลจารึกในบริเวณดังกล่าวจากภาพถ่าย กลุ่มจารึกแผ่นทองหุ้มปลียอดพระบรมธาตุเจดีย์นี้ มีการจารด้วยอักษรขอมและอักษรไทย ข้อความส่วนใหญ่บอกถึงวันเดือนปีที่ทำการซ่อม, สร้างแผ่นทอง ระบุน้ำหนักทอง และถิ่นที่อยู่ของผู้มีศรัทธาพร้อมทั้งการตั้งความปรารถนาซึ่งนิยมขอให้ตนได้พบพระศรีอาริย์ และถึงแก่นิพพาน (ข้อมูลจากฐานข้อมูลจารึกในประเทศไทย : ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน))
.
บรรดาจารึกที่ปรากฏความปรารถนาเหล่านี้ มีจารึกหนึ่งควรแก่การยกมาศึกษาในวาระปีใหม่นี้อยู่มาก ด้วยอาจถือเอาเป็นพรปีใหม่ที่กล่าวและอธิษฐานนำโดยบรรพบุรุษชาวนครศรีธรรมราช
.
“…ขอให้สำเร็จสมบัติสามประการ
คือมนุษยสมบัติ แลสวรรค์สมบัติ
มีพระนิพพานสมบัติเป็นที่สุด
ตามประเพณีพระอริยเจ้า แต่ก่อนนั้นแล”

ความตอนนี้พบบนจารึกแผ่นทองหุ้มปลียอดพระบรมธาตุเจดีย์ นครศรีธรรมราช ๑๘ (จ. ๕๒) เป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้ากว้าง ๑๑.๓ เซนติเมตร ยาว ๖๘.๓ เซนติเมตร ใช้อักษรขอมธนบุรี – รัตนโกสินทร์ มี ๑ ด้าน ๓ บรรทัด อ่านและปริวรรตโดย ก่องแก้ว วีระประจักษ์ เมื่อพุทธศักราช ๒๕๓๗ ได้ความทั้งหมดว่า

“ ฯ ศุภมัสดุ พระพุทธศักราชล่วงแล้วได้ ๒๓๗๗ พระวัสสา
จุลศักราชขึ้น เป็น ๑๑๘๗ ปี
เจ้าคุณมารดา เป็นอุปถัมภก
รักษาพระศาสนา ประกอบไปด้วย
อุตสาห รักษาพระไตรสรณคมน์
ด้วยศีลห้าเป็นนิตย์แลอุโบสถศีลเป็นอดิเรก
แลได้รักษาพระสงฆ์ แลสามเณร แลชีพราหมณ์
บุคคลรักษาศีลแลมีน้ำจิตศรัทธา
ได้ทำนุบำรุงพระเจติยสถานอันบรรจุพระบรมธาตุ
และพระระเบียงล้อมพระบรมธาตุ
ให้บริบูรณ์เสร็จแล้วยังมิได้เต็มศรัทธา
จึงเอาทองคำเนื้อเจ็ดหนักสามตำลึงสามสลึง
ตราส่งแผ่นหุ้มยอดพระบรมธาตุ
ให้มีผลานิสงส์เป็นอันมาก
ขอให้สำเร็จสมบัติสามประการ คือ มนุษยสมบัติแล
สวรรค์สมบัติ มีพระนิพพานสมบัติเป็นที่สุด
ตามประเพณีพระอริยเจ้า แต่ก่อนนั้น แล”

.
เมื่อตรวจสอบรูปการณ์และศักราชที่ปรากฏบนจารึกลานทองนี้แล้ว “เจ้าคุณมารดา” ผู้ศรัทธาถวายและเป็นเจ้าของคำอธิษฐานนี้ น่าจะคือ เจ้าจอมมารดานุ้ยเล็ก ในสมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาสุรสิงหนาท ธิดาเจ้าพระยาสุธรรมมนตรี (พัด) กับทูลกระหม่อมหญิงใหญ่ (นวล) พระนัดดาในพระเจ้านครศรีธรรมราชกับหม่อมทองเหนี่ยว
.
ดังจะเห็นว่า ความมุ่งหวังสูงสุดในที่นี้ คือการได้พระนิพพานสมบัติ ตามคติของพระพุทธศาสนา โดยเจ้าคุณมารดาได้อ้างเอาบุญกุศลที่บำเพ็ญมาทั้งส่วนการปฏิบัติบูชา มีการรักษาศีลเป็นอาทิ และอามิสบูชา เช่นว่า การบำรุงพระภิกษุ สามเณร เถรชี การบูรณะพระบรมธาตุเจดีย์และพระระเบียง เป็นเหตุแห่งผล
.
ในวาระแห่งการเปลี่ยนพุทธศักราชใหม่อย่างสากลนี้ ผู้อ่านท่านใดประสงค์จะให้ผลแห่งชีวิตเจริญไปอย่างที่สุดเช่นไร ก็ขอให้สมดั่งเหตุที่สั่งสมไว้มาตลอดปีเถิดฯ

ยอดพระธาตุหัก เหตุและปัจจัยแวดล้อมที่ไม่เคยถูกกล่าวถึง

ยอดพระธาตุ

“พระพุทธศักราชได้สองพันร้อยเก้าสิบพระพรรษาเศษได้สี่วัน

เมื่อยอดพระเจ้าหัก วันจันทร์ เดือนหก แรมสี่ค่ำ ปีมะเมีย

เพลาชายแล้วสองยาม สร้างตรหลบหกสู่ยอดพระเจ้าหั้นแล

เมื่อทำการนั้น เดือนสิบ วันศุกร์เพลาเช้าขึ้นถึงสิบชั้นเป็นสุดเอย[๑]

เมื่อยอดพระเจ้าหัก

ข้อความที่ยกมาข้างต้น เป็นการปริวรรตจารึกที่แกนปลีใต้กลีบบัวหงายพระบรมธาตุเจดีย์ นครศรีธรรมราช โดย ก่องแก้ว วีระประจักษ์ และ เทิม มีเต็ม ก่อนที่จะวิเคราะห์เนื้อความในจารึก จะกล่าวถึงตำแหน่งที่พบจารึกตามการบันทึกไว้ในฐานข้อมูลจารึกในประเทศไทย ของศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) ว่าอยู่ในช่วงใต้กลีบบัวหงายต่ำลงไป ประมาณ ๑.๘๐ เมตร เป็นการจารึกรอบแกนปลีจำนวน ๒ บรรทัดแต่ปัจจุบันถูกหุ้มด้วยแผ่นไฟเบอร์กลาส เพื่อเสริมความมั่นคงให้แก่ โครงสร้างยอดเจดีย์ จารึกดังกล่าวจึงถูกปิดทับไปด้วย จึงมีการอ่านแปลจารึกในบริเวณดังกล่าวจากภาพถ่าย และตีพิมพ์ในวารสารศิลปากร ปีที่ ๓๗ ฉบับ ๔ (กรกฎาคม-สิงหาคม, ๒๕๓๗) ในบทความชื่อ “จารึกแผ่นทองหุ้มปลียอดพระบรมธาตุเจดีย์ นครศรีธรรมราช[๒]

ต้นจารึกเป็นอักษรขอมอยุธยา ภาษาไทย มีด้านเดียว ๒ บรรทัด จารึกลงบนโลหะ กำหนดอายุสมัยในพุทธศักราช ๒๑๙๐ จัดเรียงบรรทัดใหม่เพื่อวิเคราะห์ความได้ ๔ บรรทัด ดังนี้

“พระพุทธศักราชได้สองพันร้อยเก้าสิบพระพรรษาเศษได้สี่วัน”

บรรทัดแรกบอกศักราชเป็นพุทธศักราช ถือเป็นประโยชน์อย่างมากในการกำหนดอายุของจารึก เพราะสามารถทำหน้าที่เป็นหลักฐานชั้นต้นอย่างดีหากเป็นจารึกที่ร่วมสมัย ศักราชที่ปรากฏนี้ยังสามารถใช้พิจารณาหาบริบทแวดล้อมอื่น เพื่อมาเติมเต็มภาพของเหตุการณ์ที่ขาดหายไปให้ชัดเจนขึ้น ผู้เขียนจึงใช้จุดเวลานี้ เป็นหลักในการศึกษาข้อมูลของประวัติศาสตร์ที่เกิดขึ้นในเมืองนครศรีธรรมราช เชื่อมโยงเหตุและความน่าจะเป็นที่นำไปสู่การทำให้ “ยอดเจ้าหัก” ทั้งสามารถใช้เทียบเคียงเพื่อลำดับเหตุการณ์ร่วมกับจารึกอื่นที่พบบนปลียอดพระบรมธาตุเจดีย์ ที่ระบุศักราชก่อนหน้า และภายหลัง ดังจะได้กล่าวต่อไป

ปีพุทธศักราช ๒๑๙๐ ตรงกับรัชสมัยสมเด็จพระเจ้าปราสาททอง (พ.ศ. ๒๑๗๓ – ๒๑๙๘) แห่งกรุงศรีอยุธยา ส่วนเมืองนครศรีธรรมราชนั้น เอกสารลายลักษณ์อักษรที่จะใช้เป็นข้อมูลหลักคือตำนานพระบรมธาตุเจดีย์เมืองนครศรีธรรมราช ขาดช่วงไปไม่มีการกล่าวถึงนามของผู้ครองเมือง 

แล้วใครครองเมืองนครตอนยอดพระธาตุหัก ?

หากพิจารณาช่วงเวลาใกล้เคียงกันก่อนหน้านี้ คือในรัชสมัยสมเด็จพระอาทิตยวงศ์ (พ.ศ. ๒๑๗๒) มีการส่งขุนนางจากส่วนกลางคือออกญาเสนาภิมุข (ยามาดะ นางามาซะ) มาเป็นเจ้าเมืองนครศรีธรรมราช แล้วเกิดเหตุความขัดแย้งภายในระหว่างกลุ่มอำนาจท้องถิ่นกับกองอาสาญี่ปุ่น นำมาซึ่งการสู้รบระหว่างชาวเมืองกับทหารญี่ปุ่น จนผู้คนล้มตายและหลบหนีออกจากเมืองไปเป็นจำนวนมากจนเกือบจะเป็นเมืองร้าง ท้ายที่สุดเมืองนครศรีธรรมราชเป็นฝ่ายชนะและแข็งเมืองในปีพุทธศักราช ๒๑๗๕ จดหมายเหตุวันวลิต บันทึกว่า “ฝ่ายชาวนครศรีธรรมราช เห็นว่าตนเองหลุดพ้นจากชาวญี่ปุ่นแล้ว ก็ต้องการสลัดแอกจากการปกครองของสยาม จึงลุกฮือขึ้นเป็นกบฏและปฏิเสธไม่ยอมเคารพนับถือพระเจ้าแผ่นดินโดยฐานะกษัตริย์และเจ้านายที่ถูกต้องตามกฎหมาย[๓]” นำมาซึ่งการปราบปรามจากกรุงศรีอยุธยา ผลในครั้งนั้นอาจนำมาซึ่งการแต่งตั้งเจ้าเมืองนครศรีธรรมราชที่เป็นคนในอาณัติของกรุงศรีอยุธยา เพื่อให้เมืองนครศรีธรรมราชเสมือนตัวแทนของกรุงศรีอยุธยา ในการควบคุมดูแลหัวเมืองฝ่ายใต้ทั้งหมด

ปัญหาคือ ขณะนี้ยังไม่พบหลักฐานที่ระบุชื่อของเจ้าเมืองนครศรีธรรมราช ที่เป็นผู้สืบทอดอำนาจของอาณาจักรอยุธยาในยุคดังกล่าว พบเฉพาะส่วนก่อนหน้าและตอนหลัง คือ ออกญาเสนาภิมุข (พ.ศ. ๒๑๗๒ – ๒๑๗๕) แล้วกล่าวถึงบุตรชายที่ตั้งตัวเองเป็นเจ้าเมืองในนามออกขุนเสนาภิมุข ภายหลังได้ตกล่องปล่องชิ้นไปเป็นเขยของเจ้าพระยานครคนเก่า ทั้งที่กินแหนงแคลงใจด้วยเหตุสงสัยในการเสียชีวิตของบิดา จนมีเหตุจลาจลให้ต้องหนีลงเรือไปอยู่เมืองเขมร ในพุทธศักราช ๒๑๗๖[๔] เจ้าพระยานครคนเก่านี้ อาจได้แก่พระยาแก้ว ผู้เป็นหลานพระรามราชท้ายน้ำ เจ้าเมืองนครศรีธรรมราช (พ.ศ. ๒๑๔๔ – ๒๑๗๑) ซึ่งเป็นบุคคลสุดท้ายที่ตำนานพระบรมธาตุเมืองนครศรีธรรมราชกล่าวถึง ก่อนจะข้ามช่วงเหตุการณ์ยอดพระธาตุหัก ไปที่พระยาบริบาลพลราช เจ้าเมืองตะนาวศรี มาเป็นเจ้าเมืองนครศรีธรรมราช ในปีพุทธศักราช ๒๑๙๗[๕]

ดูเหมือนว่าตำนานพระบรมธาตุเมืองนครศรีธรรมราช จะละความเอาไว้ถึง ๒๖ ปี คือระหว่างพุทธศักราช ๒๑๗๑ – ๒๑๙๗ ทั้งที่ในระหว่างนั้น มีเหตุการณ์เรื่องยอดพระธาตุหัก ซึ่งเกี่ยวข้องกับชื่อของตำนานโดยตรงแต่กลับไปปรากฏอยู่ในบันทึกอื่น 

“เมื่อยอดพระเจ้าหัก วันจันทร์ เดือนหก แรมสี่ค่ำ ปีมะเมีย

ก่อนจะกล่าวถึงรายละเอียดของบรรทัดนี้ ขอย้อนกลับไปวรรคก่อนหน้าที่ว่า “พระพุทธศักราชได้สองพันร้อยเก้าสิบพระพรรษาเศษได้สี่วัน” ซึ่งเศษของสี่วันนั้นตรงกับวันจันทร์ เดือนหก แรมสี่ค่ำ ปีมะเมีย ตามที่ปรากฏในวรรคนี้ ประเด็นคือ มีข้อพิจารณาอย่างหนึ่งเกี่ยวกับวิธีนับพุทธศักราช ในที่นี้จะเห็นว่าหากย้อนหลับไปสี่วัน วันขึ้นปีใหม่จะตรงกับ “วันขึ้นสิบห้าค่ำ เดือนหก” ซึ่งตรงกับวัน “วิสาขปุรณมีบูชา”

“วิสาขปุรณมีบูชา” วันขึ้นปีใหม่ของเมืองนครศรีธรรมราช

เป็นที่ทราบกันโดยทั่วไปว่า “วันวิสาขบูชา” ถูกยกย่องให้เป็นวันสำคัญสากลมาตั้งแต่ปีพุทธศักราช ๒๕๔๒ ตามมติของสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติ เพราะเป็นวันคล้ายวันที่เกิดเหตุการณ์สำคัญยิ่งในพระพุทธศาสนา ทั้ง ๓ เหตุการณ์ของพระโคตมพุทธเจ้า คือการประสูติ ณ สวนลุมพินีวัน, ตรัสรู้  ณ ตำบลอุรุเวลาเสนานิคม แคว้นมคธ เมื่อพระชนมายุ ๓๕ พรรษา และดับขันธปรินิพพาน ณ ควงไม้สาละ ในสาลวโนทยาน เมืองกุสินารา แคว้นมัลละ เมื่อพระชนมายุ ๘๐ พรรษา ซึ่งทุกเหตุการณ์ล้วนเกิดขึ้นในวันเพ็ญ เดือน ๖ ทว่าต่างปีกัน ดังนั้น การรำลึกถึงความสำคัญเหล่านี้จึงเรียกให้พ้องไปตามกาลว่า “วิสาขปุรณมีบูชา” ซึ่งแปลว่าการบูชาในวันเพ็ญเดือนวิสาขะ หรือเดือน ๖

ดังนั้น หากพุทธศักราชเป็นการสมมตินับเอาวันที่พระพุทธเจ้าเสด็จดับขันธปรินิพพานเป็น พ.ศ. ๑ ตามอย่างประเทศศรีลังกาและพม่า หรือหลังจากเหตุการณ์นั้นแล้ว ๑ ปีตามอย่างประเทศไทย วันซึ่งจะเป็นหมุดหมายเปลี่ยนศักราช จึงควรเป็นวันวิสาขบูชา และใช้สืบเนื่องมาแต่โบราณก่อนจะปรับเปลี่ยนไปตามสากล

แล้วเมืองนครศรีธรรมราชเอาอย่างใคร ?

จารึกที่ฐานพระลาก วัดศรีทวี อำเภอเมือง จังหวัดนครศรีธรรมราช มีข้อความระบุว่า “…วันพฤหัสบดี ขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๕ ปีกุน สัตตศก เพลาชาย ๓ ชั้น พุทธศักราชได้ ๒๒๗๗…”[๖] เมื่อสอบพุทธศักราชกับจุลศักราชแล้วพบว่า เป็นการนับศักราชมากกว่าพุทธศักราชปัจจุบัน ๑ ปีอย่างศรีลังกา ข้อนี้อาจแสดงให้เห็นการยึดถือระเบียบวิธีดั้งเดิมของแหล่งซึ่งเป็นต้นทางของพระพุทธศาสนาที่ประดิษฐานอยู่ ณ เมืองนครศรีธรรมราชและสยามประเทศ

อย่างไรก็ดี เมื่อย้อนไปสอบทานปีพุทธศักราชและปีนักษัตรกลับพบว่า พุทธศักราช ๒๑๙๐ ไม่ตรงกับปีมะเมีย ดังที่ระบุในจารึก

เหตุและปัจจัยที่นักษัตรกับปีเคลื่อนกัน

เหตุการณ์สำคัญในรัชสมัยสมเด็จพระเจ้าปราสาททองที่ระบุไว้ในพระราชพงศาวดารฉบับพันจันทนุมาศ (เจิม) คือเมื่อ จุลศักราช ๑๐๐๐ ปีขาล (พุทธศักราช ๒๑๘๑) ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตั้งการพระราชพิธีลบศักราช เพื่อเสี่ยงพระบารมีแก้กลียุค แม้ในพระราชพงศาวดารจะระบุว่าพระเจ้าอังวะปฏิเสธที่จะใช้ตามพระราชสาส์นที่สมเด็จพระเจ้าปราสาททองส่งไป ในส่วนของเมืองนครศรีธรรมราช มีจารึกที่ระฆังวัดท้าวโคตร อำเภอเมือง จังหวัดนครศรีธรรมราช ระบุว่า “พุทธศักราชได้ ๒๑๘๓ ปีมะโรง เลิกว่าฉลู ตรีนิศก วันศุกร์ แรม ๖ ค่ำ เดือน ๔”[๗] คำว่า “ปีมะโรง เลิกว่าฉลู” เป็นหลักฐานยืนยันว่า เมืองนครศรีธรรมราชยอมรับอำนาจของกรุงศรีอยุธยาโดยสมบูรณ์ในฐานะเป็นขอบขัณฑสีมา จึงได้ย้อนปีนักษัตรขึ้นปี ๒ ปีตามพระราชประสงค์

ส่วนจารึกแกนปลีใต้กลีบบัวหงายพระบรมธาตุเจดีย์ ระบุว่า “พระพุทธศักราชได้สองพันร้อยเก้าสิบ…วันจันทร์ เดือนหก แรมสี่ค่ำ ปีมะเมีย…” กลับมีปัญหาเพราะเมื่อคำนวณทั้งตามการนับศักราชธรรมดาและลบศักราช กลับไม่ตรงทั้ง ๒ วิธี กล่าวคือ

ธรรมดา            : พุทธศักราช ๒๑๙๐ ตรงกับจุลศักราช ๑๐๐๙ ปีกุน
ลบศักราช         : พุทธศักราช ๒๑๙๐ ตรงกับจุลศักราช ๑๐๐๙ ปีวอก

จึงดูเหมือนว่า ศักราชที่ปรากฏที่แกนปลีนี้ ใช้หลักการลบศักราชถึง ๒ ครั้ง คือย้อนกลับขึ้นไปถึง ๔ ปีนักษัตร ความคลาดเคลื่อนข้อนี้เป็นปัญหาที่ยังไม่พบข้อสรุป นอกจากการสันนิษฐานว่า อาจเป็นเพราะผู้จารึกที่รับข้อความให้จารึกซึ่งระบุศักราชที่ลบแล้ว แต่กลับลบซ้ำเป็นกำลัง

“เมื่อยอดพระเจ้าหัก” คำสำคัญที่ปราศจากการชี้เหตุ

ในบรรทัดที่สองซึ่งแยกออกมาใหม่นี้ มีเค้ามูลหลักที่ทำให้ผู้เขียนตั้งข้อสังเกตว่าอาจมีนัยยะบางประการเร้นอยู่ คือการไม่ระบุสาเหตุที่ทำให้องค์พระบรมธาตุเจดีย์หักลง ทั้งส่วนของข้อเท็จจริงหรือแม้แต่จะตกค้างอยู่ในนิทานมุขปาถะเหมือนเรื่องเล่า “เจดีย์ยักษ์” ที่มีลักษณาการเดียวกัน แน่นอนว่าในชั้นนี้ อาจเพราะเจดีย์ยักษ์ไม่ได้ถูก “สร้างตรหลบหกสู่ยอด” อย่างองค์พระบรมธาตุเจดีย์ที่ได้รับการปฏิสังขรณ์ให้แล้วเสร็จภายในระยะเวลา ๔ เดือน จึงดูเหมือนว่านิทานยักษ์สร้างพระเจดีย์แข่งกับชาวเมืองจะยังคงมีอิทธิพลต่อความรับรู้ของผู้คน ตลอดไปจนส่งผลให้การพิจารณาบูรณะเจดีย์ยักษ์จำต้องดำเนินการไปเสมือนหนึ่งไม่มีส่วนปลียอดมาแล้วแต่เดิม

แม้ว่าเหตุผลที่ทำให้เจดีย์ยักษ์ยอดหักจะเป็นเพียงนิทานปรัมปรา แต่ก็ได้ทิ้งร่องรอยประหนึ่งลายแทงแฝงไว้จนอาจเชื่อได้ว่า ยักษ์ที่เตะยอดเจดีย์นี้ น่าจะเป็นตัวแทนของคนหรือกลุ่มคนฝ่ายตรงข้ามกับคนพื้นเมือง

พระธาตุเคยทลายลงแล้วหนหนึ่งก่อนหน้าครั้งที่กำลังกล่าวถึงนี้

ในตำนานพระบรมธาตุเมืองนครศรีธรรมราช ฉบับกระดาษฝรั่ง[๘] เมื่อกล่าวถึงที่มาของพระบรมสารีริกธาตุแล้ว ก็ยกฉากการก่อ“พระเจดีย์” ครั้งแรกเพื่อสรวมพระบรมสารีริกธาตุ ถัดไปหลังที่สร้าง “เมืองนครศรีธรรมราชมหานคร” ณ หาดทรายแก้วแล้ว พระเจ้าศรีธรรมาโศกราชได้มีรับสั่งให้ทำอิฐทำปูนก่อ “พระธาตุ” เป็นครั้งที่ ๒ หากเหตุการณ์ลำดับไปตามที่ตำนานระบุ ก็จะหมายความว่าองค์พระบรมธาตุเจดีย์ มีการประดิษฐานอยู่แล้วก่อนสร้างเมืองแต่อาจจะยังไม่แล้วเสร็จ พระมหากษัตริย์ผู้สถาปนาเมืองจึงได้ทำต่อ  จากนั้นพระองค์ถัดๆ ไปก็รับเป็นธุระ ดูเหมือนว่าในตำนานจะระบุถึงการก่อ “พระมหาธาตุ” ถึง ๕ ครั้งจึงแล้วเสร็จ 

“พระเจดีย์”“พระธาตุ” และ “พระมหาธาตุ” ทั้ง ๓ คำนี้เป็นการเรียกองค์พระบรมธาตุเจดีย์จากตำนานฉบับข้างต้น ส่วนปัจจุบันตกค้างเป็นภาษาพูดของชาวนครศรีธรรมราชเฉพาะคำว่า “พระธาตุ” ซึ่งหากเป็นไปตามพระวินิจฉัยของพระเจ้าวรวงศ์เธอ กรมหมื่นพิทยาลงกรณ์ ที่ว่าตำนานฉบับนี้เขียนขึ้นในแผ่นดินสมเด็จพระนารายณ์มหาราช (พุทธศักราช ๒๑๙๙ – ๒๒๓๑) ก็เท่ากับว่าคำนี้ มีเรียกมาตั้งแต่ครั้งนั้นแล้วเป็นอย่างต่ำ

ตำนานพระบรมธาตุเมืองนครศรีธรรมราช กล่าวถึงเหตุการณ์เมื่อพระธาตุทลายลงว่า “ยังมีนายไทยผู้หนึ่งชาวกรุงศรีอยุธยา ใช้เรือมาทอดอยู่ปากน้ำนครศรีธรรมราช นายไทยวางว่าว ๆ นั้นก็ขาด นายไทยตามว่าวมาพบพระเจดีย์เดิม แล้วพบเจ้าไทยสององค์ องค์หนึ่งชื่อมหาเถรพุทธสาท องค์หนึ่งชื่อมหาเถรพรหมสุรีย์เที่ยวโคจรมา นายไทยก็เล่าความแก่เจ้าไทย ๆ ให้นำไปดูที่พระเจดีย์เดิม แล้วนายไทยก็ลงเรือไป ภายหลังเจ้าไทยทั้งสองพบพระมหาธาตุทลายลงเทียมพระบรรลังก์ รอยเสือเอาเนื้อขึ้นกินที่นั้น เจ้าไทยก็กลับไปอยู่อารามดังกล่าวเล่า”[๙]   ความตอนนี้ไม่ระบุศักราช แต่มีข้อกำหนดช่วงอายุสมัยในวรรคต้นว่านายไทยเป็นชาวกรุงศรีอยุธยา เหตุการณ์จึงน่าจะเกิดในยุคกรุงศรีอยุธยา คือระหว่างพุทธศักราช ๑๘๙๓ – ๒๓๑๐

เพื่อกำหนดจุดเวลาให้แคบลง จึงต้องพิจารณาศักราชที่ปรากฏอยู่ตำแหน่งก่อนที่จะกล่าวถึงเหตุการณ์นี้ พบว่าตกอยู่ในมหาศักราช ๑๒๐๐ ซึ่งคือพุทธศักราช ๑๘๒๑ ส่วนตำแหน่งหลังบันทึกว่าเป็นพุทธศักราช ๑๘๑๕ ชั้นแรกจึงสรุปเป็นเบื้องต้นว่า ศักราชในตำนานฉบับนี้ อาจมีความคลาดเคลื่อนสับสน คือกระโดดไปมาไม่ลำดับ กับทั้งเหตุการณ์ “พระมหาธาตุทลายลง” ซึ่งอยู่ในระหว่าง พ.ศ. ๑๘๑๕ – ๑๘๒๑ นี้ มีคำชี้จุดเวลาคือ “นายไทยผู้หนึ่งชาวกรุงศรีอยุธยา” ทั้งที่จริงช่วงเวลาดังกล่าว กรุงศรีอยุธยายังไม่ได้สถาปนาขึ้น จึง       ชวนให้ส่อเค้าคิดไปว่าเป็นไปได้ที่การทลายลงครั้งนี้ อาจเป็นครั้งเดียวกันกับที่มีจารึกไว้รอบแกนปลี

สถานการณ์ภายในเมืองนครศรีธรรมราช

ก่อน “ยอดพระเจ้าหัก” ในปีพุทธศักราช ๒๑๙๐ 

ตอนท้ายของตำนานพระธาตุเมืองนครศรีธรรมราช ฉบับกระดาษฝรั่ง มีการลำดับเหตุการณ์สำคัญที่เกิดขึ้นในลักษณะย่อหน้าละใจความ ต้นย่อหน้าระบุปีพุทธศักราชกำกับไว้ ดังนี้

เมื่อศักราชได้ ๑๙๑๙ ปี โปรดให้หลวงศรีวรวงษมาเป็นเจ้าเมือง มาทำวิหารฝ่ายอุดรพระธาตุ ทักษิณพระโพธิมณเฑียร ก่อพระสูง ๗ ศอก หล่อพระสำมฤฐองค์หนึ่งไว้ปัจฉิม เมียหล่อองค์หนึ่งไว้ฝ่ายบูรรพ์ ชื่อว่าเพหารเขียน แล้วอุทิศข้าหญิงชายไร่นาไว้สำหรับรักษาพระ โปรดให้หลวงพิเรนทรเทพมาเป็นเจ้าเมือง พระทิพยราชาน้องพระญาสุพรรณเป็นปลัด ศึกอารู้ยกมาตีเมืองแล้วไปตีเมืองพัทลุงได้ ทิพยราชาเป็นแม่ทัพไปตีได้คืนเล่า

เมื่อศักราช ๒๐๓๙ ปี โปรดให้พระยาพลเทพราชมาเป็นเจ้าเมือง เกนให้ตกแต่งทำกำแพงกำชับไว้ แล้วเข้าไปกรุงไปทางเมืองสระ

เมื่อศักราช ๒๑๔๑ โปรดให้พระยาศรีธรรมราชะเดชะมาเป็นเจ้าเมือง อุชงคนะให้ลักปหม่าหนาเป็นแม่ทัพเรือมารบ เสียขุนคำแหงปลัด ณ รอปากพระญา ข้าศึกรุกเข้ามาถึงตีนกำแพงฝ่ายอุดร พระยาศรีธรรมราชออกรบศึกหนีไป

เมื่อศักราช ๒๑๔๔ โปรดให้พระรามราชท้ายน้ำมาเป็นเจ้าเมือง เอาขุนเยาวราชมาเป็นปลัด รู้ข่าวศึกอุชงคนะ จึงพระยาให้ขุดฝ่ายบูรรพ์ แต่ลำน้ำท่าวังมาออกลำน้ำฝ่ายทักษิณ

เมื่อศักราช ๒๑๗๑ ศึกอุชงคนะยกมา พระญาก็ให้ตั้งค่ายคูฝ่ายอุดร แลแต่งเรือหุมเรือพายพลประมาณห้าหมื่นเศษรบกันเจ็ดวันเจ็ดคืนขุนพัญจาออกหักทัพกลางคืนศึกแตกลงเรือศึกเผาวัศท่าโพเสีย พระญาถึงแก่กรรม พระญาแก้วผู้หลานก่อพระเจดีย์บรรจุธาตุไว้ในพระธรรมศาลา”[๑๐]

ดังจะพิจารณาได้ว่า ศตวรรษก่อนหน้าที่จะเกิดเหตุยอดพระเจ้าหักนั้น เมืองนครศรีธรรมราชต้องประสบกับภัยสงคราม ตั้งแต่ศึกอารู้จนถึงอุชงคนะ ยืดเยื้อกินเวลาหลายขวบปี มีผลจากสงครามครั้งนั้นต่อผังเมืองในปัจจุบันให้พอเป็นที่ประจักษ์อยู่บ้าง คือถนนพัฒนาการคูขวาง ถนนที่ทอดทับตำแหน่งเดียวกันกับคูที่ “…ขุดฝ่ายบูรรพ์ แต่ลำน้ำท่าวังมาออกลำน้ำฝ่ายทักษิณ” ขวางไม่ให้กำลังพลของข้าศึกยกขึ้นประชิดเมืองได้โดยง่าย แม้ตอนท้ายของตำนาน จะทำหน้าที่คล้ายพงศาวดารเมือง แต่ก็ไม่ได้ระบุว่าข้าศึกเข้าเมืองแล้วกระทำอันตรายอย่างไรต่อทรัพยากรภายใน กับทั้งกระโดดไป ๒๖ ปี ข้ามเหตุการณ์ยอดพระเจ้าหักที่เป็นโจทย์นี้ไปกล่าวถึง “…เมื่อศักราช ๒๑๙๗ มีพระบรรทูลโปรดให้พระญาบริบาลพลราชเจ้าเมืองตะนาวศรีมหานครมาเป็นเจ้าพระญานครศรีธรรมราช เดชไชยอภัยพิรีบรากรมพาหุเจ้าพระญานครศรีธรรมราช…”

อย่างไรก็ดี ศึกครั้งนี้เป็นศึกติดพัน เพราะความมุ่งหมายของแขกสลัดมีมากกว่าการปล้นเอาสมบัติพัสถาน การจงใจเลียบชายฝั่งผ่านเมืองท่าที่มั่งคั่งอย่างปัตตานีและมะละกา อาจเป็นสัญญาณว่า นครศรีธรรมราชคือเป้าหมายเดียวที่พอพร้อมสำหรับความต้องการบางอย่าง และเป็นไปได้ว่าปัตตานีคือหนึ่งในพันธมิตรของแขกสลัด ดังที่เริงวุฒิ มิตรสุริยะ อธิบายไว้ว่า “…พ.ศ. ๒๑๗๓ ปัตตานีก็ทำการรุกรานเมืองพัทลุงและนครศรีธรรมราชโดยทันใด โดยเว้นไม่ยุ่งเกี่ยวกับเมืองสงขลา ที่ดูเหมือนจะประกาศตัวว่าขอออกจากพระราชอำนาจและอาณาจักรของอยุธยาไปแล้วด้วยเมืองหนึ่ง ในขณะที่นครศรีธรรมราชอ่อนแอนี้ ปัตตานีได้พันธมิตรจากยะโฮร์และโปรตุเกสร่วมด้วย อยุธยาจำต้องเกณฑ์ผู้คนจากนครศรีธรรมราชและพัทลุงออกต่อต้าน แต่ก็ไม่สามารถเอาชนะปัตตานีได้…”[๑๑]

สภาพของนครศรีธรรมราชขณะนั้นคงไม่ต่างไปจากสภาพของกรุงศรีอยุธยาก่อนเสียแก่พม่าเมื่อพุทธศักราช ๒๓๑๐ กลับกันเมื่อเมืองสงขลากลับมีอิทธิพลมากขึ้น ในปีพุทธศักราช ๒๑๘๕ สงขลาจึงเป็นกบฏต่อกรุงศรีอยุธยา แม้ว่าจะปราบปรามลงได้ แต่ก็เป็นกบฏอีกครั้ง พ.ศ. ๒๑๙๒ ได้บุกยึดเมืองนครศรีธรรมราชไว้เป็นการชั่วคราว และดึงเอาปัตตานี พัทลุง และไทรบุรีเข้าเป็นพันธมิตร[๑๒]

ทั้งนี้แต่ไม่ทั้งนั้น สถานการณ์ร่วมสมัยกับที่ระบุในจารึกแกนปลีว่ายอดพระบรมธาตุเจดีย์หักลงในพุทธศักราช ๒๑๙๐ ที่ยกมานี้ อาจเป็นเพียงข้อสังเกตหนึ่ง ที่จะทำให้พลอยโน้มเอียงใช้เป็นคำตอบถึงเหตุของการหักลงได้ จากที่โดยทั่วไป ความรู้สึกแรกเมื่อได้อ่านจารึกมักคิดอ่านไปเองเป็นเบื้องต้นว่าอาจเพราะถูกฟ้าผ่าตามธรรมชาติ จะได้มีความลังเลสงสัยเพิ่มขึ้นเป็นตัวเลือก เพราะหากพระบรมธาตุเจดีย์เป็นสัญลักษณ์ของความเป็นนครศรีธรรมราช ปูชนียสถานมีชื่อนี้ก็ถือเป็นหมุดหมายเดียวของศัตรูที่จะเข้ายึดหรือทำลายเพื่อชัยชนะที่สมบูรณ์

ทว่าเมื่อตรวจสอบแผ่นทองคำที่มาจารึกในระบบฐานข้อมูลจารึกในประเทศไทย จากศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) แล้ว พบว่าแทนที่เมื่อยอดหักแล้วศักราชในจารึกจะลำดับต่อไปจาก ๒๑๙๐ กลับมีแผ่นจารึกระบุปีก่อนหน้านั้น ๒ รายการ ได้แก่

“ศุภมัสดุ ศักราชได้เก้าร้อยเจ็ดสิบสี่ เดือนห้า ขึ้นเก้าค่ำ ปีชวด เถลิงศก วันจันทร์ชวด จัตวา พระมหาศรีราชปรีชญา เอาทองห้าตำลึงแลญาติอีกด้วยสัปปุรุษทั้งหลายช่วยอนุโมทนา เป็นทองหกตำลึง สามบาท สามสลึง ตีเป็นแผ่นสรวมพระธาตุเจ้า ในขณะออกญาพัทลุงมาเป็นพระยานครแลพระเจ้าพระครูเทพรักษาพระธาตุ”[๑๓]

รายการแรก ศักราชเก้าร้อยเจ็ดสิบสี่ ตรงกับพุทธศักราช ๒๑๕๕ ถัดไปอีก ๔ ปีปรากฏในรายการที่ ๒ คือ พ.ศ. ๒๑๕๙ ซึ่งทั้ง ๒ รายการร่วมสมัยสมเด็จพระเจ้าทรงธรรม (พุทธศักราช ๒๑๕๔ – ๒๑๗๑) จึงดูเหมือนว่าเป็นไปไม่ได้ที่เมื่อข้าศึกยึดเอาสัญลักษณ์ประจำเมืองได้แล้วจะไม่ฉกฉวยเอาทรัพย์สินมีค่าไปใช้สอยประโยชน์ ข้อนี้สันนิษฐานต่อไปได้ว่า อาจเป็นอุบายเพื่อประโลมขวัญชาวเมืองในการสร้างความยอมรับให้มีแก่กลุ่มผู้ปกครองใหม่ โดยกระทำการปฏิสังขรณ์อย่างรวดเร็วแล้วเสร็จภายในระยะเวลาเพียงแค่ ๔ เดือนดังจะได้กล่าวต่อไป

            ข้อพินิจสำคัญอีกประการคือ จารึกแผ่นทองหุ้มปลียอดพระบรมธาตุเจดีย์ นครศรีธรรมราชอีกรายการหนึ่ง ปรากฏ ๒ ศักราชในลายมือที่ใกล้เคียงกัน

            ก่องแก้ว วีระประจักษ์ ปริวรรตแยกบรรทัดยกมาเฉพาะศักราชได้ว่า

            บรรทัดบนซ้ายจารึก (มหาศักราช) ๑๖๒๘” เท่ากับพุทธศักราช ๒๒๔๙

            บรรทัดล่างขวาจารึก “ศกพระแต่พ้นไปแล้ว ๒๑๕๙”[๑๕]

ความใกล้เคียงกันของตัวอักษรที่แม้ว่าจะมีระยะระหว่างจารึกถึง ๙๐ ปี แถมยังปรากฏบนแผ่นเดียวกันนี้ เป็นพิรุธบางประการที่อาจเชื่อได้ว่าการระบุศักราชก่อนหน้าเหตุการณ์ยอดหักซึ่งปรากฏอยู่เพียง ๓ รายการจากทั้งหมด ๔๐ รายการนี้ เป็นเพียงการบันทึกย้อนความทรงจำ ทั้งนี้เพื่อยืนยันสมมติฐานนี้ อาจต้องพึ่งการตรวจพิสูจน์ทางด้านอักษรศาสตร์ ซึ่งผู้เขียนไม่มีความสามารถในด้านนั้นเป็นการเฉพาะ

 “เพลาชายแล้วสองยาม สร้างตรหลบหกสู่ยอดพระเจ้าหั้นแล

เมื่อทำการนั้น เดือนสิบ วันศุกร์เพลาเช้าขึ้นถึงสิบชั้นเป็นสุดเอย

จากเหตุการณ์ยอดหักเมื่อต้นปีใหม่เดือนหก ถึงเมื่อสร้างแล้วเสร็จเดือนสิบ ระยะเวลาเพียงแค่ ๔ เดือนกับการปฏิสังขรณ์ครั้งยิ่งใหญ่นี้ แสดงให้เห็นถึงความมานะอย่างยิ่งยวดของผู้ได้รับหน้าที่ เพราะเสมือนการก่อขึ้นใหม่ตั้งแต่ตำแหน่งพระเวียนขึ้นไปจนถึงยอด ตามที่ ดร.เกรียงไกร เกิดศิริ ได้สันนิษฐานว่า ตรงก้านฉัตรขององค์พระบรมธาตุแต่เดิมไม่มีเสาหานเช่นเดียวกับเจดีย์สุโขทัยและล้านนา แต่เมื่อส่วนยอดพังทลายลงมาถึงชั้นบัลลังก์ และได้รับการบูรณปฏิสังขรณ์ครั้งใหญ่ จึงไม่ทำก้านฉัตรแบบเดิมแต่ออกแบบให้มีเสาหานช่วยพยุงตัวปล้องไฉนที่อยู่เหนือขึ้นไป แต่ก็ไม่ทำเสาหานทรงกระบอกแบบที่แพร่หลายในอยุธยา[๑๖]

การเร่งปฏิสังขรณ์ขึ้นไปใหม่อย่างรวดเร็วนี้ ชี้ให้เห็นถึงความสำคัญขององค์พระบรมธาตุเจดีย์ต่อสภาพจิตใจของผู้คนประการได้เป็นอย่างดี อาจเป็นการบูรณะครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดและเสร็จสิ้นด้วยระยะเวลาอันสั้นที่สุดเท่าที่เคยมีมาเมื่อเทียบกับระยะเวลาของการบูรณะในชั้นหลัง

พระบรมธาตุเจดีย์เมืองนครศรีธรรมราช เป็นวัตถุธาตุในโลกที่เป็นไปตามสามัญลักษณะทั้ง ๓[๑๗] ซึ่งคือกฎธรรมดาของสรรพสิ่งทั้งปวง แม้จะพยายามเฝ้าหวงแหนและพิทักษ์รักษาสักปานใด ก็ไม่มีเครื่องยืนยันว่าจะสามารถอยู่ยั่งมั่นคงสวนกระแสธรรมดาที่ว่านี้ได้ ฉันใดที่มนุษย์รู้จักดูแลสุขภาพกายและจิตเพื่อยืดอายุขัย พลังแห่งศรัทธาปสาทะ[๑๘]ของสาธารณชน ผนวกด้วยความรับผิดชอบขององค์กรภาครัฐทั้งองคาพยพ[๑๙] จึงเสมือนยาอายุวัฒนะแก้สรรพ[๒๐]โรค พร้อมไปกับการบำรุงกำลังแห่งองค์พระบรมธาตุเจดีย์ตราบเท่าที่วิทยาการทางเทคโนโลยีจะก้าวล้ำไปถึงก็ฉันนั้น


[๑] ก่องแก้ว วีระประจักษ์ และเทิม มีเต็ม. (๒๕๓๗). “จารึกแผ่นทองหุ้มปลียอดพระบรมธาตุเจดีย์ นครศรีธรรมราช”. ใน ศิลปากร ๓๗. ๔ (กรกฎาคม-สิงหาคม ๒๕๓๗) : ๒๐-๑๑๘.

[๒] https://db.sac.or.th/inscriptions/inscribe/detail/1321 สืบค้นเมื่อ ๒๑ พฤศจิกายน ๒๕๖๒

[๓] ภัคพดี อยู่คงดี. “นครศรีธรรมราช ระหว่างพุทธศตวรรษที่ ๑๙ – ๒๓ (ร่วมสมัยสุทัย – อยุธยา)”. ใน ประวัติศาสตร์ โบราณคดี นครศรีธรรมราช : น. ๙๓ – ๙๔

[๔] มานิจ ชุมสาย. ม.ล.. (๒๕๒๑). “เมื่อญี่ปุ่นมาเป็นเจ้าพระยานคร ใน พ.ศ.๒๑๗๒”. ใน รายงานการสัมมนาประวัติศาสตร์นครศรีธรรมราช :น. ๕๕๐ – ๕๕๑.

[๕] “ตำนานพระธาตุเมืองนครศรีธรรมราช”. ใน รวมเรื่องเมืองนครศรีธรรมราช : น. ๙๕.

[๖] พระครูเหมเจติยาภิบาล. (๒๕๖๒). “คำอ่านจารึกฐานพระลาก (ปางอุ้มบาตร) วัดศรีทวี อำเภอเมือง จังหวัดนครศรีธรรมราช”.

[๗] สุรเชษฐ์ แก้วสกุล. (๒๕๖๒) . “คำอ่านจารึกระฆังวัดท้าวโคตร อำเภอเมือง จังหวัดนครศรีธรรมราช”.

[๘] พระเจ้าวรวงศ์เธอ กรมหมื่นพิทยาลงกรณ์ พิมพ์ครั้งแรกเมื่อพุทธศักราช ๒๔๗๑ ตามหนังสือกระดาษฝรั่งเขียนเส้นหมึก ต้นฉบับอยู่ในหอพระสมุดวชิรญาณ (ปัจจุบันคือสำนักหอสมุดแห่งชาติ)

[๙] “ตำนานพระธาตุเมืองนครศรีธรรมราช”. ฉบับกระดาษฝรั่ง.

[๑๐] เรื่องเดียวกัน

[๑๑] เริงวุฒิ มิตรสุริยะ. (๒๕๕๕). “สุลต่านลุ่มทะเลสาบสงขลา : ปฏิสัมพันธ์ของอำนาจจากท้องถิ่นถึงราชอาณาจักร จากสมัยอยุธยาตอนกลางถึงรัตนโกสินทร์ตอนต้น”. รายงานการสัมมนาประวัติศาสตร์นครศรีธรรมราช ครั้งที่ ๖ (พ.ศ.๒๕๕๕). (นครศรีธรรมราช : มหาวิทยาลัยราชภัฏนครศรีธรรมราช, ๒๕๕๕). หน้า ๑๒๙. 

[๑๒] ภัคพดี อยู่คงดี. “นครศรีธรรมราช ระหว่างพุทธศตวรรษที่ ๑๙ – ๒๓ (ร่วมสมัยสุโขทัย – อยุธยา)”. ประวัติศาสตร์ โบราณคดี นครศรีธรรมราช. กรมศิลปากร.

[๑๓] ก่องแก้ว วีระประจักษ์ และเทิม มีเต็ม. (๒๕๓๗). “คำปริวรรตจารึกแผ่นทองหุ้มปลียอดพระบรมธาตุเจดีย์ นครศรีธรรมราช”. 

[๑๔] เรื่องเดียวกัน

[๑๕] ก่องแก้ว วีระประจักษ์ และเทิม มีเต็ม. (๒๕๓๗). “คำปริวรรตจารึกแผ่นทองหุ้มปลียอดพระบรมธาตุเจดีย์ นครศรีธรรมราช”.

[๑๖] เกรียงไกร เกิดศิริ. (๒๕๖๑). “พระบรมธาตุนครศรีธรรมราช มรดกพุทธศาสนาสถาปัตยกรรม ศูนย์กลางพระพุทธศาสนาเถรวาทแห่งคาบสมุทรภาคใต้”. กรุงเทพ. หน้า ๘๕.

[๑๗] คือไตรลักษณ์ ได้แก่ อนิจจลักษณะ ลักษณะไม่เที่ยง มีการแปรเปลี่ยนไปเป็นธรรมดา ทุกขลักษณะ ลักษณะทนอยู่ตลอดไปไม่ได้ ถูกบีบคั้นด้วยอำนาจของธรรมชาติทำให้ทุกสิ่งไม่สามารถทนอยู่ในสภาพเดิมได้ตลอดไป และ อนัตตลักษณะ ลักษณะไม่สามารถบังคับบัญชาให้เป็นไปตามต้องการได้

[๑๘] ปสาทะ หมายถึงความผ่องใส เป็นลักษณะของศรัทธา ในพระสุตตันตปิฎก ทีฑนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ หน้าที่ ๓๕๕ ยกแยกศรัทธาไว้ ๔ อย่าง หนึ่งในนั้นคือ ปสาทศรัทธา หมายถึง ความเชื่อ ศรัทธาที่เกิดจากการบรรลุธรรม

[๑๙] แปลว่า อวัยวะน้อยใหญ่ ในที่นี้หมายถึงทุกภาคส่วน

[๒๐] อ่านว่า สับ-พะ เป็นคำอุปสรรค มีสำเนียงอ่านอย่างใต้อีกอย่างหนึ่งว่า สอ – หรบ อาจเป็นที่มาของวัดสพ ซึ่งอยู่ในบริเวณเดียวกันกับวัดท้าวโคตรปัจจุบัน ด้วยว่าพระประธานในร่วมพื้นที่นั้น องค์หนึ่งพระนามว่า “พระสัพพัญญุตญาณมุนี” แต่ก่อนมักเขียนโดยให้พ้องเสียงอาจเขียนเป็น สรรพ แล้วมีผู้ออกเสียงว่า สอ – หรบ จนเป็นสพในที่สุด


จากปก : ภาพจากหอจดหมายเหตุแห่งชาติ หมายเลขกำกับ CFNA๐๑-P๐๐๑๙๒๒๒-๐๐๒๑

สาเหตุที่ตรงโน้น ตรงนี้ ต่างก็มีตำนานเท้าความถึงเมื่อแรกสร้างพระธาตุ

เรามักมองว่าการสถาปนาพระบรมธาตุเจดีย์จำลอง ณ สถานที่ใดในปากใต้ หรือโครงเรื่องทำนองที่ทรัพย์สมบัติเหล่าหนึ่งหมายมาสมทบทำพระธาตุแต่การเสร็จลงเสียก่อน จึงทำอนุสรณ์สถานไว้ตรงนั้นตรงนี้ เป็นสัญลักษณ์แสดงเครือข่ายความศรัทธาของผู้คนที่มีต่อองค์พระบรมธาตุเจดีย์ เมืองนครศรีธรรมราช ในฐานะศูนย์กลางทางพระพุทธศาสนา

นั่นก็จริง แต่มีข้อสังเกตบางประการที่ควรมองเพิ่มคือ เจดียสถานเหล่านั้น ไม่ได้มีอายุร่วมสมัยกับองค์พระบรมธาตุเจดีย์เมืองนคร แต่มักจะถูกสร้างขึ้นในระหว่างพุทธศตวรรษที่ ๒๐ เรื่อยมาจนปัจจุบันก็ยังเห็นมี.ในระยะเวลาตั้งแต่ขอบล่างดังกล่าว เป็นช่วงเดียวกันกับที่อำนาจจากรัฐลุ่มน้ำเจ้าพระยา ที่เดิมมีแต่เพียงในนาม พยายามเข้าแทรกแซงและมีอิทธิพลเหนือเมืองนครศรีธรรมราชภายหลังการประกาศตนเป็น “เมืองสิบสองนักษัตร” ปกครองเมืองน้อยใหญ่รายรอบได้เบ็ดเสร็จ

เมื่อพระบรมธาตุเจดีย์เป็นเครื่องมือสำคัญของการผนึกความรู้สึกของผู้คนให้เป็นปึกแผ่น การจะควบคุมศูนย์กลางได้สำเร็จ จึงต้องมุ่งไปที่การสลายผนึกนั้นลงอย่างแยบคายและอาศัยจังหวะที่เหมาะสม

การสถาปนาพระบรมธาตุเจดีย์จำลองและตำนานอนุสรณ์สถานที่เกี่ยวโยงกับองค์พระบรมธาตุเจดีย์เมืองนครที่แพร่หลายในคาบสมุทรนี้ อีกมุมหนึ่งจึงอาจเป็นวิธีการตามนโยบายแยกแล้วปกครอง ที่กรุงศรีอยุธยาใช้ในการถ่ายโอนอำนาจจากเมืองใหญ่มาสู่ราชสำนัก

โดยจังหวะที่อาศัยนั้น น่าเชื่อว่าเป็นระลอกของการบูรณะพระบรมธาตุเจดีย์แต่ละคราว อย่างครั้งเก่าสุดที่พบจารึกศักราชบนแผ่นทองคำหุ้มปลียอด ตกในพุทธศักราช ๒๑๕๕ ตรงกับรัชสมัยสมเด็จพระเจ้าทรงธรรม ในแผ่นดินเดียวกันนี้ มาคู่ขนานกับเหตุการณ์การพระราชทานพระบรมราชูทิศเพื่อกัลปนาที่ภูมิทานเลณฑุบาตถวายข้าพระโยมสงฆ์เมืองพัทลุง

การกัลปนาครั้งนั้น ถือเป็นการกัลปนาวัดในหัวเมืองปักษ์ใต้ครั้งใหญ่ ที่ได้รวมเอาวัดทั้งหมดตั้งแต่หัวเขาแดงเรื่อยไปตามสันทรายจนถึงเขาพังไกรขึ้นกับวัดหลวง

ศาสนาและการเมืองจึงเป็นเครื่องมือให้แก่กัน เมื่อศาสนามีคุณวิเศษในการรวบรวมศรัทธา ผู้ปกครองที่ต้องการสิ่งเดียวกันนี้หรือประสงค์จะแยกออกจากศูนย์รวมในจุดใด ก็จำเป็นต้องผลิตซ้ำแล้วอาศัยความสัมพันธ์เพื่อให้เกิดศูนย์รวมศรัทธาในที่แห่งใหม่ โดยผู้คนแทบจะไม่รู้สึกแปลกแยกออกจากฐานคิดเดิมของตนฯ

ใครแต่ง ? ตำนานพระธาตุเมืองนคร

ตำนานพระธาตุเมืองนครศรีธรรมราช ฉบับที่ใช้ตั้งสมมติฐานว่าใครแต่งนี้ คือ “ฉบับกระดาษฝรั่ง” สำนวนนี้ถูกคัดมาจากหนังสือกระดาษฝรั่งเขียนเส้นหมึกในหอพระสมุดวชิรญาณ คัดมาจากหนังสือเก่าอีกทอดหนึ่งโดยถ่ายการสะกดคำตามต้นฉบับ และถูกพิมพ์ออกเผยแพร่หลายครั้ง ครั้งที่ได้เคยชวนอ่านและทบทวนกันแล้วทาง Nakhon Si sTation Platform (NSTP) เป็นฉบับที่คัดมาจากหนังสือรวมเรื่องเมืองนครศรีธรรมราช ฉบับพิมพ์เป็นอนุสรณ์ในงานพระราชทานเพลิงศพ พลเอก เจ้าพระยาบดินทรเดชานุชิต (แย้ม ณ นคร) ณ เมรุหน้าพลับพลาอิสริยาภรณ์ วัดเทพศิรินทราวาส ๒๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๐๕ โปรดดู https://nakhonsistation.com/ต้นฉบับ-ตำนานพระธาตุเมื/

การตั้งคำถามว่า “ใครแต่ง ?” ต่อตำนานพระธาตุฯ ในฐานะสิ่งสืบทอดเป็นคติชนท้องถิ่น แน่นอนว่าไม่ได้มุ่งเป้าไปที่การชี้ตัวของผู้แต่งชนิดที่เค้นเอาว่าชื่อเสียงเรียงนามกระไร แต่คิดว่าจากโครงเรื่องและองค์ประกอบของเนื้อหาจะสามารถทำให้ภาพของผู้เขียนบีบแคบลงได้ในระดับหนึ่ง จนทำให้เห็นความจำเป็นบางประการที่อาจจะเป็นตัวกำหนดทิศทางในการแต่ง ดังจะลองยกข้อสังเกตมาชวนกันพิจารณา ดังนี้

ตำนานพระธาตุ มีวิธีการเริ่มเรื่องในแต่ละฉากคล้ายบทละคร คือตั้งนามเมือง ออกพระนามของกษัตริย์และชายา โดยตัวละครที่ปรากฏมาจากการยืมจากทั้งวรรณคดี ชาดก และบุคคลในประวัติศาสตร์ ในที่นี้เนื่องจากฝ่ายกษัตริย์ต่างออกพระนามคล้ายกันคือ “พระเจ้าศรีธรรมาโศกราช” (ยกเว้นเมืองทนทบุรีและชนทบุรี) จึงยกเฉพาะฝ่ายสตรีเป็นข้อสังเกต เช่น

๑. เมืองทนทบุรี (เมืองที่ประดิษฐานพระธาตุ)

ระบุว่ามี “นางมหาเทวี” เป็นพระอัครมเหสีของท้าวโกสีหราช
น่าจะมีต้นเค้าจาก “นางมหาเทวี” ชื่อพี่สาวของพระเจ้าช้างเผือกแห่งเมืองเมาะตะมะ จากเรื่องราชาธิราช

๒. เมืองชนทบุรี (เมืองที่แย่งชิงพระธาตุ)

ระบุว่ามี “นางจันทเทวี” เป็นอัครมเหสีของอังกุศราช
น่าจะมีต้นเค้าจาก “นางมหาจันทเทวี” มเหสีพระยาอู่ กษัตริย์พระองค์ที่ ๘ ของหงสาวดี มีพระธิดาองค์เดียวคือ “ตะละแม่ท้าว” อัครมเหสีของราชาธิราช กษัตริย์พระองค์ที่ ๙ จากเรื่องราชาธิราช ในเรื่องนี้เรียกนามนี้ว่า “มุชีพ” ส่วนอีกประเด็นคือ “จันทเทวี” เป็นอิสริยยศด้วยอย่างหนึ่งของทางหงสาวดี

๓. เมืองมัธยมประเทศ (เมืองที่ขอแบ่งพระธาตุ)

ระบุว่ามี “นางสันทมิตรา” เป็นอัครมเหสีของพระยาธรรมโศกราช
น่าจะมีต้นเค้าจาก “นางอสันธิมิตรา” อัครมเหสีของพระเจ้าอโศกมหาราช

๔. ฝ่ายตะวันตก

ระบุว่ามี “นางจันทาเทวี” เป็นอัครมเหสีของพระยาศรีไสณรง 
น่าจะมีต้นเค้าจาก “นางจันทาเทวี” หนึ่งในมเหสีของบุเรงนองแห่งตองอู ยายของนัดจินหน่องประการหนึ่ง
“นางจันทาเทวี” ในสุวรรณสังขชาดกประการหนึ่ง และ “นางจันทาเทวี” ในสังข์ทองอีกประการหนึ่ง

๕. เมืองหงษาวดี

ระบุว่า “ท้าวเจตราช” เป็นพระราชบุตรของพญาศรีธรรมโศกราชกับนางสังขเทพ
น่าจะมีต้นเค้าจาก “เจ้าเจตราช” ผู้ครองเมืองเจตราช จากกัณฑ์ประเวศน์ เวสสันดรชาดก

ความจริงพิจารณาเท่านี้ก็น่าจะพออนุมานได้แล้ว
ว่าผู้แต่งควรมีความเกี่ยวเนื่องกับความเป็น “มอญ” จากรอยที่ทิ้งไว้

เพื่อคลี่ขยายให้ชัดขึ้น เราต้องลองมาพิจารณาเนื้อความของตำนานที่อาจจะเป็น “รอยมอญ” กันต่อไป ในที่นี้จะขอยก ๒ ตำแหน่งที่อาจส่งความเกี่ยวเนื่องกัน

ตอนต้น

“ยังมีเมืองหนึ่งชื่อหงษาวดี มีกำแพงสามชั้นอ้อมสามวันจึ่งรอบเมือง ประตูเมืองมีนาคราชเจ็ดหัวเจ็ดหางมีปราสาทราชมณเฑียร มีพระมหาธาตุ ๓๐๐๐ ยอดใหญ่ ๓๐ ยอด ต่ำซ้ายต่ำขวา กลางสูงสุดหมอก มีพระพุทธรูป ๔๐๐๐ พระองค์ เจ้าเมืองนั้นชื่อพระญาศรีธรรมาโศกราช มีพระอรรคมเหสีชื่อสังขเทพี มีบุตร์ชายสองคนๆ หนึ่งชื่อท้าวเจตราช อายุยืนได้ ๑๐๐ ปี ถัดนั้นชื่อเจ้าพงษ์กระษัตริย์ ยังมีบาคู ๔ คนบำรุงเจ้าเมืองนั้นอยู่ อยู่มาเกิดไข้ยุบลมหายักษ์มาทำอันตราย ไพร่พลล้มตายเป็นอันมาก พระยาก็พาญาติวงษ์และไพร่พลลงสำเภาใช้ใบมาตั้งอยู่ริมชเล

ตอนปลาย

“ศักราช ๒๑๙๗ ปี มีพระบรรทูลโปรดให้พระญาบริบาลพลราชเจ้าเมืองตะนาวศรีมหานครมาเป็นเจ้าพระญานครศรีธรรมราช เดชไชยอภัยพิรีบรากรมพาหุเจ้าพระญานครศรีธรรมราช”

ในตอนต้น ตำนานกล่าวว่าเมื่ออพยพไพร่พลและญาติวงศ์ออกมาจากหงษาวดีแล้วไปตั้งอยู่ที่ “ริมชเล” ก่อนไข้ยุบลมหายักษ์ระลอกใหม่จะระบาดจนต้องยกย้ายไปกระหม่อมโคกแล้วสร้าง “นครศรีธรรมราชมหานคร” “ริมชเล” ที่แวะพักนั้น ในตำนานระบุว่าเป็นสถานที่สำคัญที่ทำการวางแผนสร้างบ้านแปงเมือง น่าเชื่อได้ว่าจะคือส่วนหนึ่งของตะนาวศรีที่มาปรากฏอีกครั้งในตอนปลาย

ดังได้เคยตั้งข้อสังเกตไว้ใน “ตำนานพระธาตุเมืองนคร (ฉบับกระดาษฝรั่ง) เขียนขึ้นเมื่อไหร่ ?” แล้วที่ https://nakhonsistation.com/ตำนานพระธาตุเมืองนคร-เข/ ว่าตอนปลายของตำนานอาจเป็นข้อพินิจได้ด้วยว่า “ใครแต่ง ?”

จากที่ช่วงท้ายของตำนานตั้งแต่ พ.ศ.๑๘๖๑ เรื่อยไปจนถึง ๒๑๙๗ เป็นการเขียนในลักษณะเรียงลำดับเหตุการณ์ผู้ปกครอง ประหนึ่งแสดงทำเนียบเจ้าเมืองนครศรีธรรมราช โดยมีข้อสังเกตคือ ในช่วงก่อนปีท้ายสุดที่มีการลงศักราชไว้นั้น มีเหตุการณ์สำคัญมากเกิดขึ้นในเมืองนครศรีธรรมราช นั่นคือ กรณียอดพระธาตุหักในปีพุทธศักราช ๒๑๙๐ แต่ไม่มีการระบุไว้ ทั้งที่เกี่ยวข้องกับตำนานโดยตรง อาจเพราะในช่วงท้าย วัตถุประสงค์ของการเขียนตำนานเปลี่ยนไปจากเดิมเล่าความของพระธาตุมาเป็นการแสดงทำเนียบเจ้าเมือง หรือด้วยเพราะอาจจงใจอำพรางลางเมืองเพื่อต้องการดำรงพระเกียรติยศของสมเด็จพระเจ้าปราสาททอง ผู้ซึ่งยังคงดำรงอำนาจเหนือนครศรีธรรมราชอย่างสมบูรณ์อยู่ในขณะนั้น

แน่นอนว่า การที่พระญาบริบาลพลราช เจ้าเมืองตะนาวศรีมาครองเมืองนครศรีธรรมราช จึงต้องส่งอิทธิพลต่อการแต่งและเขียนตำนานพระธาตุนครศรีธรรมราชฉบับนี้อย่างไม่พ้นได้ ดังได้ยกตัวอย่างการให้ชื่อบุคคลในข้างต้นและเนื้อหาส่วนชี้ความสำคัญของเมืองตะนาวศรีแล้วในข้างท้าย (ส่วนการยืมคัมภีร์ทางพระพุทธศาสนามาสร้างประกาศิตในต้นตำนานจริงว่าอาจเป็นอีกประการร่วมพิจารณา แต่จะขอยกไว้ค้นคว้าต่อเพิ่มเติมด้วยเห็นว่าเพียงพอต่อการตั้งสมมติฐาน)

“มอญตะนาวศรี” จึงอาจคือพลังขับในการแต่งตำนานพระธาตุเมืองนครศรีธรรมราช ฉบับนี้ 

____

ภาพจากปก :
สำเนาภาพจากหอจดหมายเหตุแห่งชาติ 
หมายเลขกำกับ na๐๑d-img๐๐๐๐๑๓๒-๐๐๙

ต้นฉบับ ตำนานพระธาตุเมืองนครศรีธรรมราช (ฉบับกระดาษฝรั่ง)

ตำนานพระธาตุ

ตำนานพระธาตุเมืองนครศรีธรรมราชมีหลายฉบับ หลายสำนวน แต่ก็ล้วนแล้วมีโครงเรื่องในทำนองคล้ายกัน ในที่นี้จะขอยกเอาฉบับกระดาษฝรั่ง ที่ถูกเผยแพร่จนเข้าใจว่าส่งผลอย่างสำคัญต่อความทรงจำของผู้คนได้ในระดับหนึ่ง การให้ชื่อว่า “ฉบับกระดาษฝรั่ง” ด้วยว่าสำนวนนี้ถูกคัดมาจากหนังสือกระดาษฝรั่งเขียนเส้นหมึกในหอพระสมุดวชิรญาณ ซึ่งคัดมาจากหนังสือเก่าอีกทอดหนึ่งโดยถ่ายการสะกดคำตามต้นฉบับ ตำนานพระธาตุฉบับนี้ถูกพิมพ์ออกเผยแพร่หลายครั้ง ส่วนครั้งที่จะชวนอ่านและทบทวนเป็นฉบับที่คัดมาจากหนังสือรวมเรื่องเมืองนครศรีธรรมราช ฉบับพิมพ์เป็นอนุสรณ์ในงานพระราชทานเพลิงศพ พลเอก เจ้าพระยาบดินทรเดชานุชิต (แย้ม ณ นคร) ณ เมรุหน้าพลับพลาอิสริยาภรณ์ วัดเทพศิรินทราวาส ๒๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๐๕ โดยการแบ่งเป็นตอนในต่อไปนี้ ไม่ได้มีหลักการใด เป็นเพียงเพื่อให้ง่ายต่อการอ่านก็เท่านั้น ส่วนการสะกดคำก็ยืนตามแบบของต้นฉบับดังกล่าวทุกประการ

ตอนที่ ๑

อาทิเดิมยังมีเมืองหนึ่งชื่อทนทบุรี เจ้าเมืองชื่อท้าวโกสีหราช มีพระอรรคมเหสีชื่อนางมหาเทวี มีพระราชบุตรีผู้พี่ชื่อนางเหมชาลา  ชายชื่อเจ้าทนทกุมาร และยังมีเมืองหนึ่งชื่อเมืองชนทบุรี อยู่ข้างฝ่ายทักษิณทิศ เจ้าเมืองชื่อท้าวอังกุศราช พระอรรคมเหสีชื่อว่าจันทเทวีและท้าวอังกุศราชมารบชิงพระทันตธาตุแก่ท้าวโกสีหราช ๆ ก็ขาดหัวช้างเสียเมืองแก่ท้าวอังกุศราช นางเหมชาลากับเจ้าทันตกุมารก็รับเอาพระทันตธาตุลงสำเภาไปเมืองลังกาเกิดลมร้ายสำเภาแตก เจ้าทันตกุมารกับนางเหมชาลาก็พาพระทันตธาตุ ซัดขึ้นที่หาดซ้ายแก้วชเลรอย ก็เอาพระธาตุฝังไว้ที่หาดทราย แล้วก็เข้าเร้นอยู่ในที่ลับ.

ยังมีพระอรหันต์องค์หนึ่ง ชื่อพระมหาเถรพรหมเทพ มาโดยนภากาศเห็นรัศมีพระธาตุช่วงโชตชนาการขึ้น พระมหาเถรก็ลงนมัศการพระธาตุ นางเหมชาลากับเจ้าทันตกุมารก็เล่าความแก่พระมหาเถร เหมือนกล่าวมาแล้วแต่หลัง และพระมหาเถรทำนายว่าในหาดทรายชเลรอยนี้เบื้องหน้ายังมีพระยาองค์หนึ่งชื่อพระยาศรีธรรมาโศกราชจะมาตั้งเป็นเมืองใหญ่ แล้วจะก่อพระมหาธาตุสูงได้ ๓๗ วา แล้วพระมหาเถรสั่งเจ้าสองพี่น้องไว้ ว่ามีทุกข์สิ่งใดให้เจ้าลำนึกถึงพระองค์ ว่าเท่านั้นแล้วพระมหาเถรก็กลับไป.

เจ้ากุมารทั้งสองก็พาพระธาตุนั้นไป ครั้นถึงท่าเมืองตรังก็โดยสารสำเภาไป ถึงกลางทเลใหญ่ ก็เกิดอัศจรรย์ใช้ใบสำเภาไปมิได้ ชาวสำเภาก็ชวนกันว่า เจ้าทั้งสองนี้ลงโดยสารสำเภาจึงเกิดอัศจรรย์ขึ้น และว่าจะฆ่าเจ้าทั้งสองนั้นเสีย เจ้าทั้งสองก็ลำนึกถึงพระมหาเถร ๆ ก็นิฤมิตเป็นครุทธ์ปีกประมาณข้างละ ๓๐๐ วา เสด็จมาในอากาศอัศจรรย์ก็หาย และพระมหาเถรบอกแก่ชาวสำเภาว่า พระญานาคพาบริวารขึ้นมานมัศการพระธาตุจึงเกิดอัศจรรย์ ว่าเท่านั้นแล้วพระมหาเถรก็เสด็จไป นายสำเภาก็ใช้ใบไปถึงเมืองลังกาทวีป เจ้าลังกาก็รับพระธาตุขึ้นไว้บนปราสาทแล้ว จึ่งตรัสภามเจ้าสองพี่น้องว่าจะกลับไปเมืองทนทบุรีเล่า เจ้าลังกาก็ให้แต่งสำเภาให้เจ้าสองพี่น้อง แล้วบรรทุกของให้เต็มสำเภา แล้วจึ่งแต่งราชสารไปถึงเจ้าเมืองทนทบุรี ว่าเป็นบุตร์ท้าวโกสีหราช ซึ่งทิวงคตในการสงครามนั้นกลับมาอยู่ในเมืองทนทบุรีเล่า อย่าให้ท้าวอังกุศราชทำอันตรายแก่เจ้าสองพี่น้อง ถ้าท้าวอังกุศราชทำอันตรายแก่เจ้าสองพี่น้องเห็นว่าเมืองทนทบุรี กับกรุงลังกาจะเป็นศึกแก่กัน แล้วเจ้าลังกาให้มหาพราหมณ์ ๔ คน พาพระบรมธาตุมาทนานหนึ่ง ให้ฝังที่เจ้าสองพี่น้องซ่อนพระทันตธาตุนั้น มหาพราหมณ์กับเจ้าสองพี่น้องก็ใช้สำเภามาถึงหาดทรายแก้ว มหาพราหมณ์ก็แบ่งพระธาตุเป็นสองส่วน ส่วนหนึ่งใส่ผอบแก้วแล้วใส่แม่ขันทองขึ้นฝังที่รอยเจ้าสองพี่น้องฝั่งพระธาตุแต่ก่อน ก่อพระเจดีย์สรวมไว้แล้วผูกภาพยนต์รักษาอยู่ ยังพระธาตุส่วนหนึ่งนั้น มหาพราหมณ์ก็พาไปเมืองทนทบุรี

ตอนที่ ๒

ยังมีเมืองหนึ่งชื่อหงษาวดี มีกำแพงสามชั้นอ้อมสามวันจึ่งรอบเมือง ประตูเมืองมีนาคราชเจ็ดหัวเจ็ดหางมีปราสาทราชมณเฑียร มีพระมหาธาตุ ๓๐๐๐ ยอดใหญ่ ๓๐ ยอด ต่ำซ้ายต่ำขวา กลางสูงสุดหมอก มีพระพุทธรูป ๔๐๐๐ พระองค์ เจ้าเมืองนั้นชื่อพระญาศรีธรรมาโศกราช มีพระอรรคมเหสีชื่อสังขเทพี มีบุตร์ชายสองคนๆ หนึ่งชื่อท้าวเจตราช อายุยืนได้ ๑๐๐ ปี ถัดนั้นชื่อเจ้าพงษ์กระษัตริย์ ยังมีบาคู ๔ คนบำรุงเจ้าเมืองนั้นอยู่ อยู่มาเกิดไข้ยุบลมหายักษ์มาทำอันตราย ไพร่พลล้มตายเป็นอันมาก พระยาก็พาญาติวงษ์และไพร่พลลงสำเภาใช้ใบมาตั้งอยู่ริมชเล.

ยังมีพราน ๘ คนๆ หนึ่งชื่อพรหมสุริยตามเนื้อมาตามริมทเล มาถึงหาดทรายชเลรอบพบแก้วดวงหนึ่งเท่าลูกหมากสง จึ่งพราน ๘ คนเอาแก้วไปถวายแก่พระญาแล้วกราบทูลว่าได้ที่หาดทรายนั้น กว้างยาวมีน้ำอยู่โดยรอบ พระญาก็ให้พรหมสุริยนำบาคูทั้ง ๔ คนมาดูที่นั้น บาคูทั้ง ๔ คนก็เขียนแผนที่นั้นไปถวาย พระญาให้แต่งสำเภาแล้ว จัดคนที่รู้คุณพระพุทธเจ้า ๑๐๐ หนึ่งกับบาคูทั้ง ๔ คน พาแผนที่ภูมิลำเนาไปถวายเจ้าเมืองลังกา ๆ ก็ยินดีหนักหนา จึ่งตรัสถามว่าพระสงฆ์ยังมีฤาหาไม่ บาคูกราบทูลว่าพระสงฆ์เจ้าไม่มี แลเจ้าลังกาว่ายังมีพระสงฆ์องค์หนึ่ง ชื่อพระพุทธคำเภียรเกิดวิวาทกันกับเพื่อนสงฆ์ เจ้าเมืองลังกาขอโทษกันเสีย เจ้ากูไม่ลงให้ก็ให้นิมนต์เจ้ากูไปเถิด พระพุทธคำเภียรก็ลงสำเภามาด้วยบาคูทั้ง ๔ คน ยังมีพระยาศรีธรรมาโศกราช ๆ ก็มีน้ำใจศรัทธาในการกุศลให้เกลี้ยกล่อมผู้คนซึ่งอยู่ดงป่าเข้ามาประชุมกันเป็นอันมาก แล้วพระยาศรีธรรมโศกราช เจ้าพงษ์กระษัตริย์แลพระพุทธคำเภียรบาคูทั้ง ๔ คน ปฤกษากันจะตั้งเมืองหาดทราย แล้วจะก่อพระเจดีย์แลพระพุทธรูปไว้ ครั้นสนทนากันแล้ว พอเกิดไข้ยุบลคนล้มตายเป็นอันมาก พระญากับพระพุทธคำเภียรบาคูทั้ง ๔ คนพาญาติวงษ์ช้างม้าหนีไปอยู่กระหม่อมโคก ณ หาดทรายชเลรอบนั้นแล เมื่อศักราชได้ ๑๐๙๘ ปี พระยาศรีธรรมาโศกราชก็สร้างการลง ณ หาดทรายชเลรอบ เป็นเมืองนครศรีธรรมราชมหานคร แล้วสั่งให้ทำอิฐทำปูนก่อพระธาตุครั้งนั้น แลยังมีพระสิหิงค์ล่องชเลมาแต่เมืองลังกามายังเกาะปินังแลพ้นมาถึงหาดทรายแก้วที่จะก่อพระมหาธาตุนั้น

ตอนที่ ๓

ครั้งนั้นยังมีพระยาธรรมาโศกราชองค์หนึ่ง เป็นเจ้าเมืองมัทยมประเทศ มีพระอรรคมเหษีชื่อนางสันทมิตราให้นักเทษถือราชสารมาถึงพระยาศรีธรรมาโศกราช ในราชสารนั้นว่าพระญาศรีธรรมาโศกราชก่อพระมหาธาตุ ๘๔,๐๐๐ พระองค์ แต่ยังมิได้พระบรมธาตุไปประจุ รู้ความไปว่าพระยาศรีธรรมาโศกราช ก่อพระมหาธาตุองค์หนึ่งสูง ๓๗ วา แล้วยกพระบรมธาตุขึ้นประจุพระบรมธาตุ แลเมืองมัทยมประเทศ พระธาตุ ๘๔,๐๐๐ ยังหาได้พระบรมธาตุไปประจุไม่ จะขอแบ่งพระธาตุไปประจุ ครั้นแจ้งในราชสารนั้นแล้ว พระญาก็ให้นักเทษสั่งสอน บาคูทั้ง ๔ คนเล่าเรียนสวดมนตร์ไหว้พระตามนักเทษเรียนมา แลปฤกษาว่าจะคิดฉันใด ที่จะรู้แห่งพระธาตุจะเอาขึ้นจะได้แจกประจุพระเจดีย์ ๘๔,๐๐๐ พระองค์ พระญาให้เอาทองเท่าลูกฟักผูกคอม้าป่าวทั่วทั้งเมือง.

ยังมีเถ้าคนหนึ่งอายุได้ ๑๒๐ ปีว่ารู้แห่ง อำมาตย์เอาทองส่งให้แล้วเกาะตัวผู้เฒ่านั้นมาทูลแก่พระญา ๆ ก็ถามผู้เถ้ากราบทูลว่าเมื่อตัวข้าพเจ้ายังน้อย บิดาของข้าพเจ้าได้เอาดอกไม้ไปถวายที่นั้น พระญาก็ให้นำไปขุดลง พบพระเจดีย์มีภาพยนตร์รักษาอยู่เอาขึ้นมิได้ พระญาก็ให้นำเอาทองเท่าลูกฟักแขวนคอม้า ไปป่าวหาผู้รู้แก้ภาพยนตร์.

ครั้งนั้นยังมีบุรุษผู้หนึ่งชื่อนายจันที แลบิดานั้นไปเรียนศิลปะวิชชาเมืองโรมพิไสย ครั้นได้แล้วเอาน้ำหมึกสักไว้ที่ลำขาแล้วกลับมา พระอาจาริย์ใช้ภาพยนตร์มาตัดศีศะเอาไป อักษรอันนั้นข้าพเจ้าเขียนเรียนไว้ อำมาตย์ก็เอาทองให้แล้วพาตัวบุรุษมา พระญาก็ให้แก้ภาพยนตร์ จึ่งร้อนขึ้นไปถึงพระอินทร์ ๆ ก็ใช้พระวิศณุกรรมมายกพระธษตุขึ้น พระญาก็ปันไปเมืองมัทยมประเทศตามมีตรามาขอนั้น จึ่งพระวิศณุกรรมช่วยพระญาก่อพระเจดีย์ประจุพระบรมธาตุนั้นไว้ แล้วตั้งเมืองสิบสองนักษัตร์ขึ้นแก่เมืองนครศรีธรรมราช ปีชวดตั้งเมืองสายถือตราหนูหนึ่ง ปีฉลูเมืองตานีถือตราโคหนึ่ง ปีขาลเมืองกะลันตันถือตราเสือหนึ่ง ปีเถาะเมืองปาหังถือตรากะต่ายหนึ่ง ปีมะโรงเมืองไทรบุรีถือตรางูใหญ่หนึ่ง ปีมะเส็งเมืองพัทลุงถือตรางูเล็กหนึ่ง ปีมะเมียเมืองตรังถือตราม้าหนึ่ง ปีมะแมเมืองชุมพรถือตราแพะหนึ่ง ปีวอกเมืองบันท้ายสมอถือตราลิงหนึ่ง ปีระกาเมืองอุเลาถือตราไก่หนึ่ง ปีจอเมืองตะกั่วป่าถือตราสุนัขหนึ่ง ปีกุนเมืองกระถือตราหมูหนึ่ง เข้ากัน ๑๒ เมืองมาช่วยทำอิฐปูนก่อพระมหาธาตุขึ้นยังหาสำเร็จไม่ ภอไข้ห่าลงพระญาก็พาญาติวงษ์ลงสำเภาหนี ใช้ใบถึงกลางชเลผู้คนตายสิ้น เมืองนั้นก็ร้างอยู่ครั้งหนึ่ง

ตอนที่ ๔

เมื่อศักราชได้ ๑๑๙๖ ปี ยังมีพระญาองค์หนึ่งชื่อพระญาศรีไสณรงมาแต่ฝ่ายตะวันตก นางอรรคมเหษีชื่อนางจันทาเทวี น้องชายคนหนึ่งชื่อเจ้าธรรมกระษัตริย์ ได้เป็นเจ้าเมืองนครศรีธรรมราช แลพระสิหิงค์มาประทักษิณพระธาตุแล้วอยู่ ๗ วันก็จากเมืองนครไปเมืองเชียงใหม่ พระยาศรีไสณรงถึงแก่กรรม ท้าวธรรมกระษัตริย์ผู้น้องได้เป็นเจ้าเมืองนั้น เมื่อศักราชได้ ๑๑๙๘ ปี ท้าวธรรมกระษัตริย์ถึงแก่ความตาย.

ยังมีพระญาองค์หนึ่งชื่อท้าวศรีธรรมาโศกราช เป็นเจ้าเมืองอินทปัตบุรีย์ น้องชายชื่อท้าวจันทภานู ๑ ชื่อท้าวพงษ์สุรา ๑ พาญาติวงษ์ไพร่พลช้างม้าหนีไข้ห่า ดั้นดงมาช้านานประมาณได้ ๘-๙ ปี มาถึงหาดทรายแก้วพบพรมสุริยทำไร่อยู่ นายเทียนบัณฑิตเป็นชีอยู่คนหนึ่ง แลพลพระยาศรีธรรมาโศกราชยกมาแต่อินทปัตนั้น ๓๐,๐๐๐ เกนตั้งค่ายลงมั่นแล้วเกนทำนาทำไร่ แลเกนทำอิฐปูนก่อกำแพงเมืองรอบแล้วก่อพระมหาธาตุขึ้นตามพระญาศรีธรรมาโศกราชทำไว้แต่ก่อน.

ครั้งนั้นยังมีผขาวอริยพงษ์อยู่เมืองหงษาวดีกับคน ๑๐๐ หนึ่ง พาพระบตไปถวายพระบาทในเมืองลังกา ต้องลมร้ายสำเภาแตกซัดขึ้นปากพนัง พระบตซัดขึ้นปากพนังชาวปากน้ำพาขึ้นมาถวาย สั่งให้เอาพระบตกางไว้ที่ท้องพระโรง แลผขาวอินทพงษ์กับคน ๑๐ คนซัดขึ้นปากพูนเดินตามริมชเล มาถึงปากพน้ำพระญาน้อยชาวปากน้ำพาตัวมาเฝ้า ผขาวเห็นพระบตผขาวก็ร้องไห้ พระญาก็ถามผขาว ๆ ก็เล่าความแต่ต้นแรกมานั้น แลพระญาก็ให้แต่งสำเภาให้ผขาวไปเมืองหงษาวดีนิมนตพระสงฆ์ ผขาวก็ลงสำเภาไปนิมนต์พระสงฆ์มา ๒ พระองค์ องค์หนึ่งชื่อมหาปเรียนทศศรี องค์หนึ่งชื่อมหาเถรสัจจจานุเทพฝ่ายนักเรียนทั้งสองพระองค์มาทำพระธาตุลงปูนเสร็จแล้วพระญาให้แต่งสำเภาไปนิมนต์พระสงฆ์เมืองลังกามาเสกพระมหาธาตุ

ตอนที่ ๕ 

ครั้งนั้นยังมีสำเภาลำหนึ่งซัดขึ้นปากน้ำพระญาน้อย ในสำเภานั้นมีแต่ศรีผึ้งกับกะแชงเต็มลำสำเภาแต่คนไม่มี พระยาก็ให้เอากะแชงมามุงรอบพระมหาธาตุ ศรีผึ้งนั้นให้ฝั้นเทียนสิ้น แล้วมีตราไปถึงเมืองขึ้นทั้ง ๑๒ นักษัตร์มาทำบุญฉลองพระธาตุ จึ่งปรากฏไปถึงท้าวพิไชยเทพเชียงภวา ผู้เป็นบิดาท้าวอู่ทองเจ้ากรุงศรีอยุธยา ท้าวอู่ทองยกไพร่พลยี่สิบแสนเจ็ดพันสามร้อย มาตั้งอยู่แม่น้ำแห่งหนึ่ง มีพระราชสารมาถึงพระญาศรีธรรมาโศกราช ๆ ก็จัดเอาพลเมืองได้ยี่สิบแสนเจ็ดพันสามร้อยเท่ากับพลท้าวอู่ทอง ยกไปตั้งทำเกเร ท้าวอู่ทองยกไปตั้งบางตภารทำเพหารอารามไปทุกแห่งจนถึงบางตพาร แลทหารทัพหน้าทั้งสองฝ่ายรบกัน ไพร่พลทั้งสองฝ่ายล้มตายเป็นอันมาก พระญาศรีธรรมาโศกราชดำริหในพระไทย ว่าตัวเรานี้ได้สร้างพระเจดีย์วิหารแลก่อพระพุทธรูปปลูกไม้พระศรีมหาโพธิ แลได้ยกพระมาลิกะเจดีย์ที่เมืองอินทปัตแลทำประตู ๒ ประตูจ้างคนทำวันพันตำลึงทอง แลพระบรรธมองค์หนึ่ง ทำด้วยสำมฤฐยาว ๔ เส้น พระเจดีย์สูงสุดหมอก อิฐยาว ๕ วา หนาวา ๑ พระระเบียงสูง ๑๕ วา ระเบียงสูงเส้นหนึ่ง หนาเสา ๙ ศอก แปย่อมหิน พระนั่งย่อมสำมฤฐ สูงละองค์ ๑๕ วา ตะกั่วดาดท้องพระระเบียงหนา ๖ นิ้ว บนปรางกว้าง ๒ เส้น เหลี่ยมเสาพระเจดีย์กว้างเหลี่ยมละ ๒ เส้น กะไดฉัตรหิน ๙ วา แม่กะไดเหล็กใหญ่ ๔ กำ ลูก ๓ กำ ขึ้นถึงปรางบน หงส์ทอง ๔ ตัวย่อมทองเนื้อแล้ว ๆ มาทำพระมาลิกะเจดีย์ ปลูกพระศรีมหาโพธิแลจำเริญพระมหาธาตุ เมืองนครศรีธรรมราช แล้วไปนิมนต์พระเมืองลังกา เมืองหงษา มาทำบุญฉลองพระธาตุ ได้จำแนกแจกทานเป็นอันมาก แลทำศึกกันรี้พลล้มตายก็จะเป็นนาระเวรไปเป็นอันมาก จะขอเป็นไมตรีนั่งอาศน์เดียวกันกับท้าวอู่ทอง เมื่อท้าวอู่ทองกับท้าวศรีธรรมาโศกราชจะเป็นไมตรีกันนั้น ท้าวอู่ทองขึ้นบนแท่นแล้ว พระญาศรีธรรมาโศกจะขึ้นไปมิได้ ท้าวอู่ทองก็จูงพระกรขึ้น มงกุฎของพระเจ้าศรีธรรมาโศกตกจากพระเศียร แล้วท้าวศรีธรรมาโศกสัญญาว่า เมื่อตัวพระองค์กับอนุชาของพระองค์ยังอยู่ให้เป็นทองแผ่นเดียวกัน ถ้าท้าวอู่ทองต้องประสงค์สิ่งใดจะจัดแจงให้ นานไปเบื้องหน้าให้มาขึ้นกรุงศรีอยุธยา ฝ่ายท้าวอู่ทองก็รับเป็นไมตรีแก่กันแลท้าวอู่ทองว่า ถ้าท้าวศรีธรรมาโศกราชต้องการสิ่งใดท้าวอู่ทองจะจัดให้มา เจรจาความกันแล้ว ต่างองค์ต่างยกไพร่พลคืนเมือง.

ท้าวศรีธรรมาโศกก็ตั้งอารามก่อพระเจดีย์ ปลูกพระศรีมหาโพธิรายทางมาจนถึงเมืองนคร ตั้งแต่นั้นทั้งสองภาราได้แต่งของบรรณาการตอบแทนกันมิได้ขาดปี เมื่อพระญาศรีธรรมาโศกถึงแก่กรรม เมื่อศักราช ๑๒๐๐ ปี พระญาจันทภานูเป็นเจ้าเมือง พระญาพงษาสุราเป็นพระยาจันทภานู ตั้งฝ่ายทักษิณพระมหาธาตุเป็นเมืองพระเวียง อยู่มาท้าวศรีธรรมาโศกถึงแก่กรรม พระญาจันทภาณูผู้น้องเป็นเจ้าเมือง ครั้งนั้นเจ้าเมืองชวายกไพร่พลมาทางเรือ มารบเอาเมืองมิได้ ชวาก็เอาเงินปรายเข้ากอไม้ไผ่แล้วกลับไป อยู่มาภายหลังชาวเมืองถางไม้ไผ่เก็บเงินชวากลับมารบอีกเล่า เจ้าเมืองแต่งทหารออกรบอยู่แล้วเจ้าเมืองพาญาติวงษ์ออกจากเมืองไปอยู่เขาแดง แลกรมการรบกับชวา ๆ ก็แตกไป ภายหลังชวายกไพร่มาทอดอยู่ ณ ปากน้ำ มีราชสารมาว่าเจ้าเมืองชวาให้เอาลูกสาวมาถวายให้เจ้าเมืองนครลงไปรับ พระญาก็แต่งไพร่พลลงไป ชวาก็จับตัวพระญาได้ นางอรรคมเหสีก็ตามพระญาไปถึงเกาะอันหนึ่งได้ชื่อว่าเกาะนาง โดยครั้งนั้นชวาก็ให้เจ้าเมืองผูกส่วนไข่เป็นแก่ชวา ๆ ก็ให้พระญาคืนมาเป็นเจ้าเมืองอยู่เล่า

.

ตอนที่ ๖

อยู่มายังมีพระมหาเถรองค์หนึ่ง ชื่อสัจจานุเทพ อยู่เมืองนครป่าหมาก รื้อญาติโยมมาอยู่เมืองนครศรีธรรมราชด้วยพระมหาเถรพรหมสุริย ขอที่ตั้งเขตอารามปลูกพระศรีมหาโพธิก่อพระเจดีย์ก่อกำแพงไว้ ให้ญาติโยมรักษาอยู่ตามพระญาอุทิศถวายไว้นั้น ได้ชื่อว่าวัศพเดิม อยู่มาลูกนายเทียนบัณฑิตผิดด้วยข้าสาวของพระญา ๆ ก็ให้จับฆ่าเสีย จึ่งลูกนายเทียนแล่นเข้าในวัศ พระมหาเถรไม่ให้ อยู่มาลูกนายเทียนไปดูงาน พระญารู้ก็ให้คนจับฆ่าเสีย พระมหาเถรรู้ก็เคืองใจ รื้อญาติโยมออกไปก่อพระวิหาร พระพุทธรูป ได้ชื่อว่าวัศหว้าทยาน แล้วไปตั้งอารามอยู่เขาน้อย พระมหาเถรถึงแก่กรรม พระญาก็ขึ้นไปแต่งการศพ ได้ชื่อว่าเขาคุมพนม แล้วพระญาก็คืนเมือง จึ่งพระญาชวาให้มาเอาส่วนไข่เป็ดไข่ไก่โดยพระญาผูกนั้น.

อยู่มายังมีเด็กคนหนึ่งพ่อแม่เข็ญใจอยู่ตำบลบ้านพเตียนเอาลูกใส่เปลไว้ร่มไม้กลางนา มีงูตัวหนึ่งเอาแก้วมาไว้ในเปล พ่อแม่นั้นได้แก้วตั้งชื่อลูกว่าพังพการ ครั้งเด็กโตใหญ่เลี้ยงโคกระบือได้ เด็กทั้งหลายก็มาเล่นด้วยพังพการ ๆ ให้ดาบไม้ภาเขคนละเล่ม วันหนึ่งพังพการชวรพวกเด็กวิดปลาแล้วให้สัญญาแก่กันว่า ถ้าปลาออกหน้าที่ผู้ใดจะตัดหัวเสีย ปลาวิ่งออกหน้าที่เด็กคนหนึ่ง พังพการก็เอาดาบภาเขตัดหัวเด็กนั้นขาดหาย พ่อเด็กไปบอกกรมเมือง ๆ ไปทูลแก่พระญา ๆ ก็เอาเด็กนั้นเป็นบุตร พระญาก็คิดแข็งเมืองกับชวา พระญาก็ให้ขุดคูรอบเมืองพระเวียง พระญาชวาให้มาเอาส่วนไข่พระญาก็ไม่ให้ พระญาชวายกทัพเรือมารบ พระญาก็ให้พังพการเป็นทหารออกรบ พังพการฆ่าพวกชวาเสียสามสิบคนสี่สิบคนทุกวัน พลชวาตายมากนัก แลจะได้เห็นตัวพังพการก็หาไม่ ชวาก็แตกหนีไป พระญาก็แบ่งเมืองให้พังพการฝ่ายหนึ่ง พระยามาถึงแก่กรรมก็เกิดไข้ห่า ชาวเมืองล้มตายหลบไข้ไปอยู่ตรอกห้วยตรอกเขา เมืองก็ร้างอยู่ช้านาน.

ยังมีศรีมหาราชาลูกนายนกกระทาสุรา กับคนทั้งหญิงทั้งชาย ๑๐๐ หนึ่ง มาตั้งอยู่สุดท่าน้ำชื่อว่าเมืองลานตกะ ก็เกิดลูกชื่อพระหล้า ๆ ก็เกิดลูกชื่อศรีมหาราชา เป็นผู้ใหญ่อยู่เมืองลานตกา ยังมีขุนศรีแปดอ้อมแสนเมืองขวางอยู่เมืองสระ มีพรานแปดคนตามเนื้อหลงมาพบพระเจดีย์เดิม จึ่งนายก็คืนไปบอกกับขุนศรีพลแปดอ้อมแสนเมืองขวาง เมืองสระนั้นขึ้นแก่เมืองนครศรีธรรมราชและเมืองสระนั้นเกิดไข้ห่า จึ่งแม่นางแอดรื้อมาตั้งเมืองสระนั้นมาพบเมืองแล้วมาตั้งทุ่งหลวงหรดีเมือง.

ยังมีนายไทยผู้หนึ่งชาวกรุงศรีอยุธยา ใช้เรือมาทอดอยู่ปากน้ำนครศรีธรรมราช นายไทยวางว่าว ๆ นั้นก็ขาด นายไทยตามว่ามาพบพระเจดีย์เดิม แล้วพบเจ้าไทยสององค์ องค์หนึ่งชื่อมหาเถรพุทธสารท องค์หนึ่งชื่อมหาเถรพรหมสุรีย์เที่ยวโคจรมา นายไทยก็เล่าความแก่เจ้าไทย ๆ ให้นำไปดูที่พระเจดีย์เดิม แล้วนายไทยก็ลงเรือไป ภายหลังเจ้าไทยทั้งสองพบพระมหาธาตุทยายลงเทียมพระบรรลังก์ รอยเสือเอาเนื้อขึ้นกินที่นั้น เจ้าไทยก็กลับไปอยู่อารามดังเก่าเล่า

.

ตอนที่ ๗

ยังมีผขาวอริยพงษ์อยู่กรุงศรีอยุธยา ใช้เรือมาทอดอยู่ปากน้ำพระญาแลมาพบเจ้าไทยทั้งสองพระองค์ แลผขาวอริยพงษ์นั้นว่าพบตำราพงษาวดารว่าเมืองนครผู้เถ้าผู้แก่แห่งผขาวมาทำพระมหาธาตุตกอยู่ช้านานแล้ว จึ่งพระมหาเถรบอกว่าเมืองร้างเสียช้านานแล้ว พระมหาธาตุก็ทำลายลงถึงบรรลังก์ ผขาวกับเจ้าไทยก็ชวนกันไปแผ้วถาง แล้วจดหมายกว้างยาวบรรลังก์พระมหาธาตุ แลพระพุทธรูปพระเจดีย์แลจังหวัดกำแพงเมือง แล้วผขาวอริยพงษ์ก็ลงเรือไปกรุงศรีอยุธยา นำเอาเรื่องราวขึ้นถวายพระเจ้าอยู่หัว ๆ รับสั่งให้นิมนต์ปเรียนทศศรีชาวหงษาวดี ซึ่งมาอยู่กรุงศรีอยุธยา มหาปเรียนทศศรีออกมากับนายแวงจำพระบรรทูล มาด้วยมหาปเรียน แล้วมีตรามาให้นิมนต์พระสงฆ์มาช่วยแต่งพระบรมธาตุ แลพระสงฆ์ทั้งหลายรื้อญาติโยมมารักษาพระบรมธาตุ ฟังพระบรรทูลแล้วกลับไปรื้อญาติโยม จึ่งนิมนต์พระมหาเถรสุทธิชาติพงษ์รื้อญาติโยมมาแต่ขนอม นายผ่องหัวพันคุมไพร่ส่วย พันไกรพลดานมาสร้างวัศมังคุด มหาเถรเหมรังศรีรื้อญาติโยมมาแต่โองตพานสร้างวัศขนุน นิมนต์มหาเถรเพชรมาแต่ยายคลังรื้อญาติโยมไพร่ส่วยพันศรีชนา มาสร้างวัศจันทเมาลี พระมหาเถรมังคลาจารรื้อญาติโยมมาแต่กุฎีหลวง สร้างวัศหรดีพระธาตุ พระมหาเถรโชติบาลมาแต่ปัตโวกเขาพระบาทกับนายมันทสุริชนาสร้างวัศอาคเณพระธาตุ พระมหาเถรอุนุรุทธ์รื้อญาติโยมมาแต่ยศโสทรสร้างวัดประดู่ พระมหาเถรพงษารื้อญาติโยมมาแต่เพชรบุรีย สร้างวัศตโนดพายัพพระมหาธาตุ จึ่งมหาปเรียนทศศรี ปลูกกุฎีอยู่พายัพพระมหาธาตุ จึ่งพระมหาเถรมงคลเอาไม้ศรีมหาโพธิใส่อ่างทองคำลงเรือสำเภารื้อญาติโยมมาแต่เมืองลังกา สร้างวัศพลับปลูกพระศรีมหาโพธิ ฝ่ายอุดรพระมหาธาตุปลูกลงทั้งอ่างทอง แล้วก่ออาศน์ล้อมรอบก่อพระพุทธรูปสามด้าน ฝ่ายปัจจิมก่อพระบรรธมองค์หนึ่งพระระเบียงรอบ ๒๘ ห้องชื่อว่าพระโพธิมณเฑียร จึ่งมหาปเรียนทศศรีแลผขาวอริยพงษ์นายแวงนิมนต์พระมหาเถรพุทธสาครวัศพระเดิมเป็นป่าแก้วตามพระบรรทูล พระเจ้าอยู่หัวให้นางแม่เรือนหลวงรับพระพุทธรูปมาใส่บาตรต่าง แลมีตราออกมาให้แม่เจ้าเรือนหลวง ๔๐ หัวงานเป็นข้าพระราชทานพระกันปัญญา จึ่งพระสงฆ์ทั้งหลายกับพระศรีมหาราชาเจ้าเมืองลานตกา ก็ชักชวนคนช่องห้วยช่องเขาออกมาแต่งพระมหาธาตุแต่ยอดลงมาถึงบรรลังก์ แล้วทำการฉลองพระธาตุ พระศรีมหาราชาสร้างวัดหรดีพระธาตุ พระมหาเถรมงคลประชาออกมาแต่กรุงศรีอยุธยา พระศรีมหาราชานิมนต์ให้อยู่อารามนั้น ๆ ชื่อกะดีจีนเก้าห้อง พระศรีมหาราชาก่อชุกชีแลวิหารแล้ว พระศรีมหาราชาถึงแก่กรรม ขุนอินทาราผู้ลูกกินเมืองลานตกาอยู่ เมียขุนอินทาราชื่อนางเอื่อย ลูกชายชื่อนายศรี ลูกหญิงชื่อนางราม มีพระราชโองการออกมาว่าให้ขุนอินทาราแต่งลูกเข้าไปถวาย ขุนอินทาราแต่งลูกหมอช้างเข้าไปแทน หมอช้างก็ตามลูกเข้าไปด้วย หมอช้างให้กราบทูลว่า ขุนอินทาราหาเอาลูกสาวเข้ามาถวายไม่ โปรดให้ข้าหลวงออกมาสืบ ๆ สมตามถ้อยคำหมอช้างกราบทูล จึ่งให้เอาขุนอินทาราไปตีเสียที่ประตูท่าชี แล้วเอาลูกเอาเมียผู้คนเข้าไปเป็นข้าหลวง นายศรีธนูลูกขุนอินทารานั้น โปรดให้เป็นนายศรีทนู ตั้งแต่นั้นมาเมืองนครศรีธรรมราชก็อันตรธานเป็นช้านาน หาผู้กินเมืองมิได้

ตอนที่ ๘

เมื่อศักราชได้ ๑๘๑๕ ปี มีพระโองการให้นายศรีทนูออกมากินเมืองนครศรีธรรมราช จึ่งมหาปเรียนทศศรีแลพระสงฆ์ทั้งหลาย ทำเรื่องราวให้ผขาวอริยพงษ์กับนายแวงเอาเข้าไปถวาย มีรับสั่งให้นายช่างเอาทองแดงหล่อยอดพระมหาธาตุปิดทองเต็มแล้ว ให้ผขาวอริยพงษ์รับออกมา ตรัสให้นายสามราชหงษ์ออกมาทำสารบาญชี ญาติโยมพระสงฆ์ทั้งปวง ให้ขาดจากส่วนจากอากรจากอาณาประชาบาล ให้เป็นเชิงเป็นตระกูลข้าพระ นายสามราชหงษ์ทำบาญชีข้าพระโยมสงฆ์ทั้งปวงอันรอมาอยู่นั้นทำพระระเบียงล้อมพระธาตุแล้วทำกำแพงล้อมพระระเบียงทั้งสี่ด้านแล้วทำที่พระห้องพระระเบียงให้แก่พระสงฆ์ผู้ต้องพระราชนิมนต์นั้น ได้แก่ มหามงคลแต่มุมอิสาน ๑๕ ห้อง ได้แก่โชติบาล ๑๒ ห้อง ข้างพระตูเหมรังศรีถึงธรรมศาลา แต่นั้นไปได้แก่มหาเถรสุทธิพงษ์ ๑๕ ห้องถึงมุมอาคเณ แต่นั้นไปได้แก่พระสังฆเถรเพ็ช ๑๗ ห้อง ได้แก่ขุนไชยกุมารเจ้าเมืองบันท้ายสมอพระประทานห้องหนึ่ง ได้แก่พระมหาเถรสรรเพ็ช ๖ ห้อง ได้แก่พระธรรมกัลญาณ ๙ ห้องถึงมุมหรดี แต่นั้นไปได้แก่ศรีสุดานเจ้าเมืองไทร ๕ ห้อง ได้แก่มหาเถรนั้นห้อง ๑ ได้แก่มหาเถรมังคลาจาร ๒ ห้อง ได้แก่นนทสารีย์ ๑๐ ห้องทั้งประตูด้วย ได้แก่นางชีแก้วห้อง ๑ ได้แก่พระยามิตร ๓ ห้อง ได้แก่ขุนไชยสุราเจ้าเมืองสาย ๔ ห้อง ได้แก่ราชาศรีเทวาเจ้าเมืองกะลันตัน ๖ ห้อง ได้แก่ขุนศรีพลแปดอ้อมแสนเมืองขวางเจ้าเมืองสระ ๔ ห้อง ได้แก่แม่นางอั่วทองนายรามสักส่วนพฤทธิบาท ๘ ห้องถึงมุมพายัพ แต่นั้นไปได้แก่ขุนแปดสระ เจ้าเมืองตรัง ๕ ห้อง ได้แก่ราชาพัทธยาเจ้าเมืองพัทลุง ๖ ห้อง ได้แก่ขุนจุลาเจ้าเมืองละงูห้อง ๑ ได้แก่ราชรัดหัวเมืองไสย ขุนอินทาราเจ้าเมืองเข้าด้วยห้อง ๑ ได้แก่นายสำเภาเสมียนขุนอินทาราเข้าด้วย ๓ ห้อง ได้แก่นายญีน้อยหัวพันส่วย ๒ ห้อง ได้แก่นายจอมศรี นายน้อยยอดม่วงห้อง ๑ ได้แก่นายดำหัวปากห้อง ๑ ได้แก่นางเจ้าเรือนหลวงห้อง ๑ ได้แก่มหาปเรียนทศศรีผขาวอริยพงษ์นายพุทธศร ๑๐ ห้อง ได้แก่มหาเถรอนุรุทธ ๓ ห้อง ได้แก่ขุนคลองพล ๓ ห้องถึงมุมอิสานเข้ากัน ๑๖๕ ห้อง พระพุทธรูป ๑๖๕ พระองค์.

แลจึ่งมหาปเรียนทศศรีแลพระสงฆ์ทั้งหลาย แลผขาวอริยพงษ์แลนายสามราชหงส์ ก็ให้วัดกำแพงรอบพระระเบียงทั้งสี่ด้านให้แก่พระสงฆ์ทั้งทั้งปวง กำแพงฝ่ายบูรรพ์ ๔ เส้น ๑๓ วา แต่มุมอิสานไปได้แก่พงไพลโพธิมณเฑียร เส้น ๖ วา ได้แก่นายรัตนในโชติบาลเส้น ๔ วา ได้แก่นายรัดมหาเถรเหมรังศรีถึงพระธรรมาศาลา ๙ วา ได้แก่มหาเถรสุทธิชาติพงษ์วัศมังคุด ๑๙ วา ได้แก่เพหารหลวง ๙ วาจนมุมอาคเณ ด้านทักษิณได้แก่สังฆเถรเพ็ชเส้น ๒ วา ได้แก่เจ้าเมืองบันทายสมอ ๙ วา ได้แก่มหาเถรสรรเพ็ช ๑๙ วา ได้แก่มหาเถรธรรมกัลยาเส้น ๒ วา จนมุมหรดี ด้านปัจฉิมได้แก่เพหารหลวง ๘ วา ได้แก่ศรีสุดานเจ้าเมืองไทร ๙ วา ได้แก่มหาเถรราชเสนา ๕ วา ได้แก่มหาเถร ๒ วาได้แก่มหาเถรมังคลาจาร ๔ วาได้แก่มหานนทสาริย ๑๙ วา ได้แก่กัลยามิตร ๑๒ วาทั้งประตูด้วย ได้แก่ขุนไชยสุรา ๙ วาประตูข้างหนึ่งด้วย ได้แก่ราชาศรีเทวาเจ้าเมืองกะลันตัน ๙ วา ได้แก่ขุนศรีพลแปดอ้อม แสนเมืองขวางเจ้าเมืองสระ ๙ วา ได้แก่อั่วทองนายรามส่วนพฤทธิบาท ๑๒ วาจนมุมพายัพ แต่ด้านอุดรไปได้แก่ขุนแปดสันเจ้าเมืองตรัง ๘ วา ได้แก่ราชาพัทธยาเจ้าเมืองพัทลุง ๑๐ วา ได้แก่ขุนจุลาเจ้าเมืองลงู ๘ วา ได้แก่นายญีน้อยหัวปากส่วย ๔ วา ได้แก่นายจอมศรีนายน้อยยอดม่วง ๒ วา ได้แก่นายดำหัวปากส่วย ๒ วา ได้แก่นางแม่เจ้าเรือนหลวง ขุนอินทาราช่วยด้วย ๕ วา ได้แก่มหาเถรอนุรุทธ ๙ วา ได้แก่ขุนคลองพล ๔ วาจนมุมอิสาน เข้ากันทั้งสี่ด้านเป็นกำแพงเท่านี้ ๑๗ เส้นกับวาหนึ่ง

ตอนที่ ๙

จึ่งพระสงฆ์ทั้งหลายร้องฟ้องว่าจะขอที่ภูมิมีสัตไว้สำหรับญาติโยมทำเป็นนาจังหันสำหรับอาราม สำหรับพระระเบียง จึ่งขุนอินทาราและพระสงฆ์ทั้งหลาย ก็ทำกระบวนให้นายสามราชหงษ์แลผขาวอริยพงษ์เข้าไปถวาย จึ่งมีพระบรรทูลตรัสให้หาขุนอินทาราแลพระสงฆ์เข้าไป จึ่งขุนอินทาราแลพระสงฆ์เข้าไป จึ่งมีพระบรรทูลตรัสให้ขุนรัตนากร คุมคนสามร้อยมารั้งเมืองนครศรีธรรมราช จึ่งมีพระบรรทูลตรัสให้ขุนอินทาราเป็นศรีมหาราชา ศรีมหาราชาก็ทูลด้วยกิจพระสาสนาแลพระสงฆ์ให้เจ้าคณะ ถวายขบวนแลปาญชีพระสงฆ์ทั้งหลาย ก็ทูลด้วยที่ภูมิมีสัตขอให้ญาติโยมพระสงฆ์ทั้งหลาย แลมีพระบรรทูลให้นายสามจอมจำพระบรรทูลออกมาด้วย ศรีมหาราชาให้ทำสารบาญชีที่ภูมิมีสัตทั้งสองฝ่ายชเลแดนไว้แก่พระสงฆ์เจ้าให้ญาติสร้างสวนไร่นาดินป่า สำหรับพระห้องพระระเบียงและพระสงฆ์เมื่อมหาศักราชได้ ๑๕๕๐ ปีนั้น จึ่งศรีมหาราชาแลนายสามจอมแจกดินป่า ณ หัวปากนายคำ ให้แก่พระมหาธาตุเจ้า ๑๕๐ เส้น ฝ่ายบูรรพ์ให้อำแดงสาขาพยาบาล ๙ เส้น แลให้นายศรีรักพยาบาล ๕ เส้น ริ้วหนึ่งเป็นนาจังหันวัดให้แก่นายทองไสหัวปาก ในโพธิมณเฑียร วัดให้พระกัลปนา เป็นนาจังหันในหัวสิบหมวดนายทองไสยพยาบาล ให้วัดภูมิมีสัตให้แก่พระเดิม แลมหาเถรพุทธสาคร บัณฑิตเพียนพยาบาล ตำบลสตกเมือง เป็นนา ๒,๐๙๙ กะบิ้ง ให้วัดภูมิมีสัต ให้แก่พระระเบียงมหาเถรสุทธิชาติพงษ์วัดภูมิมีสัต ให้แก่พระมหาเถรเหมรังศรี ให้นายแพงนายวัวพยาบาล อำแดงทาน้องมหาเถรเหมรังศรี สร้างเป็นนาจังหัน ให้วัดภูมิมีสัตให้แก่มหาปเรียนทศศรีสำหรับพระระเบียง ๑๐ ห้อง ให้นายพุทธศรพยาบาลฝ่ายทักษิณต่อแดนด้วยพระธรรมศาลา ฝ่ายตวันออกต่อแดนด้วยพระกัลปนาฝ่ายตะวันตกทลาหลวง ฝ่ายสตีนแม่น้ำเป็นแดน เป็นนา ๑๑ เส้น กับริ้วหนึ่ง แลฝังศิลาไว้เป็นแดนทั้งสี่ทิศ ให้วัดภูมิมีสัตให้แก่อุโบสถ ๖ เส้น ให้วัดภูมิมีสัตให้แก่มหาเถรสังฆเถรเพ็ช เป็นนาจังหันตำบลปัจฉิมหรดี เมืองนาขวางเจ็ดริ้ว ให้แก่พระธรรมศาลาเป็นนา ๘ เส้น เป็นนาจังหันมหาเถรเหมรังศรีตำบลท่ากะสัง ให้แก่มหาสังฆเถรเพ็ชตำบลท่าชาก เป็นนาจังหันเข้าพระเป็นนา ๑๗ เส้น ให้วัดภูมิมีสัตให้แก่นายน้อยทองสุก ให้วัดภูมิมีสัตให้แก่พงไพลตำบลโพธิมณเฑียร ให้วัดภูมิมีสัตให้แก่มหาเถรโชติบาลให้นายรัดพงษ์พญา ให้วัดภูมิมีสัตให้แก่พระเดิม เป็นนาจังหันพระมหาเถรพุทธสาคร ตำบลตรอกเมืองเป็นนา ๑๑ เส้นกับริ้วหนึ่ง ให้วัดภูมิมีสัตให้แก่พระระเบียง เป็นนาจังหันพระมหาเถรธรรมราชแลมหาเถรเพ็ช ให้วัดภูมิมีสัตให้เป็นนาเชิงคดีเป็นนา ๒ เส้น ฝ่ายอาคเณเมืองเป็นนาเชิงคดีสงฆ์ให้เจ้าคณะ ให้วัดภูมิมีสัตให้แก่พระระเบียง เป็นนาจังหันพระมหาเถรธรรมกัลยา ให้บาคูรัดพยาบาล

.

ตอนที่ ๑๐

แลศรีมหาราแลนายสามจอมวัดที่ภูมิมีสัตให้แก่ ทั้งนี้ให้ญาติทั้งปวงพยาบาล แลให้พระยาคำแพงแลพระระเบียงทั้งนั้นด้วยแล้ว แลให้ขุนศรีพลเอาเชิงกุฎี ในวัดพระคูหาวัดลำพูนฉวางเมืองสระให้เอาจากมามุงพระธรรมศาลา ให้มหาเถรเหมรังศรีรักษา แลพระมหาเถรเหมรังศรีก็ร้องฟ้องว่านาซึ่งแจกนั้นน้อยนัก แลจะขอดินป่าตำบลบางนำเดิมนาตะโหนอีกเล่า จึ่งศรีมหาราชาแลนายสามจอมให้นายรัดปลัดศรีมหาราชาไปวัดดินป่า แลบางน้ำเดิมนาตะโหนอีกเล่า ให้แก่มหาเถรเหมรังศรี ๆ ก็ให้นายวัวอำแดงราอำแดงทา น้องมหาเถรเหมรังศรีสร้างเป็นนากำนันห้องแล้ว อำแดงเอื่อยให้แก่นายไส พี่พระมหาเถรเหมรังศรี ข้างหัวนอนอำแดงหราสร้างนั้นให้วัดภูมิมีสัตให้แก่อำแดงสัง สร้างเป็นนาจังหันพระเจดีย์ แล้วให้วัดภูมิมีสัตให้นายอุนจังหันเป็นนาพระกัลปนา ให้วัดภูมิมีสัตให้นายสามบุรักแลอำแดงใหม่รักษา ให้วัดภูมิมีสัตให้นายแผ่นหนาพระกัลปนา ให้วัดภูมิมีสัตให้มหาเถรเหมรังศรีให้นางเพงสร้างเป็นนาจังหัน ให้วัดภูมิมีสัตให้ในกัลปนาในหัวสิบนายหมู่สร้างเป็นนาจังหัน ๙ เส้น ๓ หมวดเป็นนาจังหันเจ้าคณะ แล้ววัดภูมิมีสัตตำบลท่าชี ให้แก่พระธรรมศาลา ให้นายอินสร้างเป็นนาเข้าพระแลจังหันพระมหาเถรเหมรังศรี ให้วัดภูมิมีสัตให้แก่นายสามเพ็ชนายงัวด้วง อำแดงเอื่อยอำแดงบุนนองสร้างคลองแจระ เป็นนาจังหันสำหรับพระธรรมศาลา มหาเถรเหมรังศรี ให้วัดภูมิมีสัตให้แก่นายอุ่นนายดำศรีสร้างตำบลพระกระเสด เป็นนาจังหันมหาเถรเหมรังศรี ให้วัดภูมิมีสัตให้แก่ชาวลางตีนสร้างตำบลลมุ ให้วัดภูมิมีสัตให้แก่มหาเถรมังคลาจาร แลมหาเถรนนทสารีย์สร้างตำบลยวนกระแลบทะ ให้นายเกิดสร้างพยาบาลสำหรับพระระเบียง ให้วัดภูมิมีสัตให้แก่นายพุทธสรแลผขาวอริยพงษ์ตำบลพะเตียน สร้างเป็นนาจังหันปเรียนทศศรี ให้วัดภูมิมีสัตให้แก่นายพุทธสรแลผขาวอริยพงษ์ สร้างตำบลท่าชี ๓ ริ้วเป็นนามหาปเรียนทศศรี ให้วัดภูมิมีสัตให้แก่นายพุทธสรตำบลพายัพเมือง สร้างเป็นนาจังหันมหาปเรียนทศศรี ให้วัดภูมิมีสัตให้แก่มหาเถรเพ็ช ตำบลท่าชีสร้างสำหรับพระระเบียง ให้วัดภูมิมีสัตให้แก่นายคำสร้างตำบลฉลง ให้วัดภูมิมีสัตให้แก่นายเทพตำบลพะเตียน สำหรับพระธรรมศาลา แลมหาปเรียนทศศรีเหมรังศรี ทั้งนี้ย่อมศรีมหาราชาแลนายสามจอมแจกดินป่าให้ทุกสังกัดทุกหมู่ จึ่งศรีมหาราชาแลนายสามจอมแจกทำบาญชีที่เชิงกุฎีวัดให้แก่แม่นางเจ้าเรือนหลวง แลหัวสิบชาวปทารพระกัลปนา แลวัดให้ผู้ครองเพณีแลพระสงฆ์อันขึ้นแก่เจ้าคณะแลพระสงฆ์ วัดนอกวัดเสศนารายทั้งหลายให้ทุกตำบลตามพระบรรทูลแล้ว ให้นายสามจอมเข้าไปถวายบังคม แล้วขบวนพระมหาธาตุและพระระเบียง แลโพธิมณเฑียรแลพระเดิมแลอาราม แลบาญชีแลญาติพระสงฆ์ แลที่ภูมิมีสัตทั้งปวง แลนายสามจอมทูลด้วยพระเจดีย์แลพระเพหาร แลขอประดิษฐานผู้คน แลญาติไว้เป็นข้าพระแลขอที่ภูมิมีสัต จึ่งมีพระราชโองการอนุโมทนาด้วยนายสามจอม จึ่งให้นายแวงจำพระบรรทูลไปมอบที่ภูมิมีสัต แลข้าพระไว้สำหรับพระนั้น แลห้ามราชการทั้งปวงนั้น มีพระราชโองการไว้สำหรับพระแลนายสามจอมได้ที่ภูมิมีสัตตำบลบ้านสนได้พระระเบียงได้กำแพงล้อมพระมหาธาตุด้วย แล้วพระศรีมหาราชาสร้างพระวิหารฝ่ายทักษิณพระมหาธาตุ แลก่อพระเจดีย์เพหารสูง ๗ วาปิดทองลงถึงอาศน์ ก่อพระพุทธรูปทั้งสี่ด้าน ๆ ละแปดพระองค์ เข้ากัน ๓๒ พระองค์ พระพุทธรูปประธานด้านละองค์เป็นพระ ๓๖ พระองค์ ได้ชื่อพระวิหารหลวง และพระมหาเถรเหมรังศรีสร้างพระธรรมศาลา ขุนศรีพบแปดอ้อมแสนเมืองขวาง เอาเชิงกุฎีวัศคูหาวัศฉวางวัศลำพูน เอาจากมามุงพระธรรมศาลา

ตอนที่ ๑๑

อยู่มาพระศรีมหาราชาถึงแก่กรรม ศักราช ๑๘๖๑ ปี โปรดให้ข้าหลวงออกมา เป็นศรีมหาราชาแต่งพระธรรมศาลา ทำระเบียงล้อมพระมหาธาตุ และก่อพระเจดีย์วัศสภ มีพระบัณฑูรให้พระศรีมหาราชาไปรับเมืองลานตกา ศรีมหาราชาถึงแก่กรรมเอาศพมาไว้วัศศภ แล้วเอามาก่อเจดีย์ไว้ในพระเดิม ๙ ยอด.

เมื่อศักราชได้ ๑๙๑๙ ปี โปรดให้หลวงศรีวราวงษมาเป็นเจ้าเมืองมาทำวิหารฝ่ายอุดรพระธาตุ ทักษิณพระโพธิมณเฑียร ก่อพระสูง ๗ ศอก หล่อพระสำมฤฐองค์หนึ่งไว้ปัจจิม เมียหล่อองค์หนึ่งไว้ฝ่ายบูรรพ์ชื่อว่าเพหารเขียน แล้วอุทิศข้าหญิงชายไร่นาไว้สำหรับรักษาพระ โปรดให้หลวงพิเรนทรเทพมาเป็นเจ้าเมือง พระทิพราชาน้องพระญาสุพรรณเป็นปลัด ศึกอารู้ยกมาตีเมืองแล้วไปตีเมืองพัทลุงได้ ทิพราชาเป็นแม่ทัพไปตีได้คืนเล่า.

เมื่อศักราช ๒๐๓๙ ปี โปรดให้พระยาพลเทพราชมาเป็นเจ้าเมือง เกนให้ตกแต่งทำกำแพงกำชับไว้ แล้วเข้าไปกรุงไปทางเมืองสระ.

เมื่อศักราช ๒๑๔๑ ปี โปรดให้พระยาศรีธรรมราชะเดชะมาเป็นเจ้าเมือง อุชงคนะให้ลักปหม่าหนาเป็นแม่ทัพเรือมารบเสียขุนคำแหงปลัด ณ รอปากพระญา ข้าศึกรุกเข้ามาถึงตีนกำแพงฝ่ายอุดร พระยาศรีธรรมราชออกศึกหนีไป.

เมื่อศักราช ๒๑๔๔ ปี โปรดให้พระรามราชท้ายน้ำมาเป็นเจ้าเมือง เอาขุนเยาวราชมาเป็นปลัด รู้ข่าวศึกอุชงคนะจึงพระยาให้ขุดฝ่ายบูรรพ์แต่ลำน้ำท่าวังมาออกลำน้ำฝ่ายทักษิณ.

เมื่อศักราช ๒๑๗๑ ปี ศึกอุชงคนะยกมา พระญาก็ให้ตั้งค่ายคูฝ่ายอุดร แลแต่งเรือหุมเรือหายพลประมาณห้าหมื่นเศษ รบกันเจ็ดวัดเจ็ดคืนขุนพัญจาออกหักทัพกลางคืนศึกแตกลงเรือศึกเผาวัศท่าโพเสีย พระญาถึงแก่กรรม พระญาแก้วผู้หลานก่อพระเจดีย์บรรจุธาตุไว้ในพระธรรมศาลา.

ศักราช ๒๑๙๗ ปี มีพระบรรทูลโปรดให้พระญาบริบาลพลราชเจ้าเมืองตะนาวศรีมหานครมาเป็นเจ้าพระญานครศรีธรรมราช เดชไชยอภัยพิรีบรากรมพาหุเจ้าพระญานครศรีธรรมราช

___

ภาพจากปก : ภาพจากหอจดหมายเหตุแห่งชาติ หมายเลขกำกับ na๐๑d-img๐๐๐๐๑๓๒-๐๐๔๕

 

ชาวสวน ชาวไร่ ติดต่อบริการ Nakhonsistation ช่วยขาย ได้ที่ Line @nakhonsistation หรือโทร 0926565298

ความเชื่อเรื่อง พระห้ามสมุทรเมืองนครศรีธรรมราช

พระห้ามสมุทร

พระห้ามสมุทรเมืองนครศรีธรรมราชนั้น มีความเชื่อที่สืบต่อกันมาแต่โบราณ ว่าสามารถขจัดภยันตรายที่เกิดจากวาตภัยในท้องสมุทรได้อย่างพิศดาร และมักประดิษฐานให้หันพระพักตร์ออกสู่ทะเลหลวงในทิศบูรพา เป็นต้นว่า

พระเหมชาลา

ภาพที่ ๑ พระพุทธรูปทรงเครื่องเจ้าฟ้าหญิงเหมชาลา ทางห้ามสมุทร
ประดิษฐานในวิหารท้ายจรนำ พระวิหารพระธรรมศาลา วัดพระมหาธาตุ วรมหาวิหาร จังหวัดนครศรีธรรมราช

พระอัฏฐารสปางห้ามสมุทร ประดิษฐานในวิหารท้ายจรนำพระวิหารพระธรรมศาลา วัดพระมหาธาตุ วรมหาวิหาร ซึ่งพระวิหารหลังนี้หากเทียบกับตำนานพระบรมธาตุ เมืองนครศรีธรรมราช ก็จะได้แก่ “เรือสำเภา” ที่เชิญพระบรมสารีริกธาตุมาแต่ลังกา ด้วยว่าพระวิหารได้ถูกแบ่งเป็น ๓ ส่วน คือ

๑.) เฉลียงด้านหน้า ประดิษฐาน “พระทนธกุมาร” พระพุทธรูปทรงเครื่องปางประทานอภัย ส่วนนี้แทนหัวเรือสำเภาอันมีเจ้าฟ้าชายธนกุมาร แห่งทันตบุรี ประทับอยู่

๒.) โถงประธานในพระวิหาร ประดิษฐาน “พระตาเขียว” พระพุทธรูปปางมารวิชัย นัยน์ตาประดับกระจกสีเขียว ส่วนนี้แทนพระบรมสารีริกธาตุ ซึ่งประดิษฐานมากลางลำเรือ

๓.) วิหารท้ายจรนำ ส่วนนี้ยื่นเข้าไปในเขตพุทธวาสคร่อมพระวิหารพระระเบียงคด ประดิษฐาน “พระเหมชาลา” พระพุทธรูปทรงเครื่องปางห้ามสมุทร ส่วนนี้แทนท้ายเรือสำเภาอันมีเจ้าฟ้าหญิงเหมชาลา แห่งทันตบุรี ประทับอยู่ 

พระพิงเสาดั้ง

ภาพที่ ๒ พระพิงเสาดั้ง พระพุทธรูปประทับยืนปางห้ามสมุทร
ประดิษฐานภายในพระวิหารทับเกษตร (ด้านทิศตะวันออก) วัดพระมหาธาตุ วรมหาวิหาร จังหวัดนครศรีธรรมราช

มีเพลงกล่อมเด็กบทหนึ่งว่า

ไปคอนเหอ…

ไปแลพระนอนพระนั่ง

พระพิงเสาดั้ง

หลังคามุงเบื้อง

เข้าไปในห้อง

ไปแลพระทองทรงเครื่อง

หลังคามุงเบื้อง

ทรงเครื่องดอกไม้ไหวเหอ…

คำว่า “พระพิงเสาดั้ง” นั้น ได้แก่พระพุทธรูปประทับยืนปางห้ามสมุทร ๒ องค์ ที่ด้านหลังมี “เสาดั้ง” ค้ำยันให้มั่นคงเอาไว้ ปัจจุบันประดิษฐานในพระวิหารทับเกษตร สันนิษฐานว่าเสาดั้งนี้นำมาค้ำไว้เมื่อครั้งพระครูเทพมุนีศรีสุวรรณถูปาภิบาล (พ่อท่านปาน) บูรณะครั้งใหญ่พระบรมธาตุเจดีย์ ในสมัยรัชกาลที่ ๕

เป็นที่น่าสังเกตว่า พระพุทธรูปปางห้ามสมุทรทุกพระองค์จะประดิษฐานให้หันหน้าไปทางทิศตะวันออกสู่ทะเลหลวง แม้พระพิงเสาดั้งเองที่สามารถเลือกมุมประดิษฐานได้โดยรอบฐานพระบรมธาตุเจดีย์ก็ตามที

เมื่อ พ.ศ.๒๔๔๙ คราวที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จประพาสยุโรปนั้น มิได้ทรงอัญเชิญพระพุทธรูปอื่นใดนอกจาก “พระห้ามสมุทรเมืองนคร” ที่ทรงประดิษฐานไว้ประจำห้องพระบรรทม บนเรือพระที่นั่งนอร์ทเยอรมันลอยด์ (ซักเซน) ด้วยพระราชศรัทธาหวังเป็นเครื่องปัดเป่าภยันตรายในท้องทะเล คู่กับพระบรมฉายาลักษณ์พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระราชบิดา ตามความในพระราชหัตถเลขาที่มีถึงสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้านิภานภดล ลงวันพุธ ที่ ๓ เมษายน ร.ศ.๑๒๖ ความว่า “…พ่อจัดหลังตู้ตั้งพระห้ามสมุทเมืองนครมุมหนึ่ง ต้นไม้ยี่ปุ่นปลูกกระถางกราบเขาจัดสำหรับเรือ ๒ กระถาง กับพระรูปทูลกระหม่อมปู่…”

ส่วนพระห้ามสมุทรเมืองนครที่ทรงเชิญไปนั้น อาจได้รับการทูลเกล้าถวายเมื่อคราวเสด็จประพาสเมืองนครศรีธรรมราชไม่คราวใดก็คราวหนึ่ง เพราะเสด็จประพาสเมืองนครศรีธรรมราช ถึง ๕ ครั้ง

นอกจากนี้ยังพบว่าพระห้ามสมุทร มีการเขียนในเอกสารโบราณเป็นห้าม “สมุทย” ซึ่งคนละความหมายกับ “สมุทร” คำโบราณในดังกล่าวคือสมุทัย องค์หนึ่งในอริยสัจจ์ ๔ หมายถึงเหตุให้เกิดทุกข์ ห้ามสมุทัยจึงคือห้ามเหตุให้เกิดทุกข์ เหตุดับทุกข์ก็ไม่เกิด อีกนัยหนึ่งพระห้ามสมุทรเมืองนครศรีธรรมราช จึงอาจคือตัวแทนคำสอนโดยย่อของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ที่ว่า “ธรรมใดเกิดแต่เหตุ พระตถาคตทรงแสดงเหตุแห่งธรรมเหล่านั้น และความดับแห่งธรรมเหล่านั้น พระมหาสมณะทรงสั่งสอนอย่างนี้