โนราจำเนียร คำหวาน: ลูกหนังร่าน หลานหนังเรื้อย เหลนหนังรอด

โนราจำเนียร คำหวาน

ลูกหนังร่าน หลานหนังเรื้อย เหลนหนังรอด

โนราเป็นภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมที่มีความเป็นพลวัตสูงมาก การศึกษาโนราจึงสามารถพลิกจับและคลี่มองกันได้หลายมิติ ล่าสุดรับชม Live : รายการขรรค์ชัย-สุจิตต์ ทอดน่องท่องเที่ยว  ตั้งชื่อตอนว่า นาฏศิลป์ไทย ไม่อินเดีย “โนรา” ละครอยุธยาลงใต้ ออกอากาศเมื่อวันพฤหัสบดี ที่ 31 มีนาคม 2565 เวลา 20.00 น. ชื่อตอนเป็นทั้งข้อเสนอและสรุปอยู่ในตัวว่า “โนรา” เป็นละครอยุธยาที่แพร่กระจายลงมาสู่คาบสมุทร ในรายการอธิบายเพิ่มเติมว่ามีเพชรบุรีเป็นจุดพักและนครศรีธรรมราชเป็นจุดหมาย สุจิตต์ วงศ์เทศ เกริ่นนำข้อเสนอเหล่านั้นว่าอภิปรายกันบน “หลักฐาน” ไม่ใช่ “ความรู้สึก” ในขณะที่เอกภัทร์ เชิดธรรมธร ผู้ดำเนินรายการกล่าวเชื้อเชิญให้ “เปิดใจรับฟัง” คล้ายกับว่าทั้งสองท่านอาจจะเคยได้ยินได้ฟังเสียงที่แตกต่างในประเด็นเดียวกันนี้มาบ้างแล้ว (สามารถรับชมย้อนหลังได้ที่ https://www.facebook.com/KhanchaiSujit/videos/5306028399427586 )
.
ก่อนหน้านั้นเล็กน้อยได้เสวนากับหนังกุ้ง พงศธร ว่าด้วยเรื่องราวของโนราจำเนียร คำหวาน ผู้เป็นทั้งครูโนราและครูหนังตะลุงอาวุโสของเมืองนครศรีธรรมราช ขณะนี้อายุ 83 ปี มาลงเอยกันที่บทความที่อาจารย์บุญเสริม แก้วพรหม ท่านโพสต์ไว้เมื่อสองสามปีก่อน จึงขออนุญาตคัดมาไว้เพื่อเผยแพร่สมทบภาพที่ได้โพสต์ผ่านเพจไปก่อนหน้านี้แล้ว ดังนี้ (ในนี้ แม้ความจะออกไปยืนเล่าที่ข้างหนังเป็นหลัก แต่ก็สะท้อนลักษณะบางประการของโนราและหนังลุงให้มองต่อได้ดี จึงขอคงต้นฉบับไว้ทั้งความ ตัวอักษร และตัวเลข)
.

หนังจำเนียร เล่าว่า…

.
หนังจำเนียร คำหวาน ศิลปินหนังตะลุงต้นแบบอาวุโส วัย ๘๐ ปี (๒๕๖๒) เล่าถึงต้นเค้าสายตระกูลศิลปินโนรา-หนังลุงว่า…
.

“หนังรอด”

เป็นทวดของหนังจำเนียร มีภรรยา ๒ คน คนแรกจำไม่ได้ คนที่สองชื่อ ทุ่ม (ทวดหญิงของหนังจำเนียร)
หนังรอดบ้านอยู่ที่ทุ่งนาลาน ทางตะวันออกของวัดด่าน (วัดสโมสร) ตำบลหัวตะพาน อำเภอท่าศาลา
หนังรอดมีลูก ๔ คน คือ หนังจาบ หนังเรื้อย หนังริ่น และหนังเริ่ม (หนังเริ่มเป็นหนังหญิงที่ฝึกเล่นหนังได้แต่ไม่ได้ออกโรงแสดงทั่วไป)
.

“หนังจาบ”

ย้ายถิ่นฐานไปอยู่ที่อำเภอท่าฉาง จังหวัดสุราษฎร์ธานี มีลูกชายเป็นหนังคนหนึ่งชื่อ หนังรุ่น
.

“หนังเรื้อย”

เป็นปู่ของหนังจำเนียร ฝึกเล่นหนังกับหนังทองมี ซึ่งอยู่ที่บ้านข้างวัดขุนโขลง ตำบลหัวตะพาน อำเภอท่าศาลา
หนังเรื้อยมีภรรยาหลายคน มีลูกหลายคน เป็นหนังตะลุงและโนรา ได้แก่ หนังร่าน หนังรุ่ม หนังชุ่ม โนราถนอม หนังดอกไม้ โนราปลีก โนราอิ่ม โนรารอบ โนราจำรัส หนังนุกูล
หนังเรื้อยแสดงทั้งหนังตะลุงและโนราควบคู่กันไป
.

“หนังริ่น”

เป็นตาของหนังจำเนียร นอกจากแสดงหนังแล้ว ยังมีความสามารถในการตัดรูปหนังด้วย
หนังริ่นมีลูกหญิงเป็นยิ่เกป่าและโนรา ได้แก่ ยี่เกเปลี่ยว โนราเวด โนราวาด โนราสายชล
หนังริ่นมีลูกศิษย์หนังตะลุงหลายคน เช่น หนังขำ หนังจวน (เพลงบอกจวน จะนะดิษฐ์ บ้านทุ่งชน หัวตะพาน)
.

“หนังร่าน”

เป็นพ่อของหนังจำเนียร มีลูกคนเดียวคือ หนังจำเนียร หนังร่านเป็นทั้งหนังตะลุงและโนรา
.

“หนังจำเนียร”

อยู่กับปู่ (หนังเรื้อย) มาตั้งแต่เด็กๆ ไปไหนมาไหนก็ขี่คอปู่ไป หนังเรื้อยไปแสดงที่ไหนก็พาหลานรัก (หนังจำเนียร) ไปด้วย และถ่ายทอดวิชาหนัง-โนราให้หลานรักมาตลอดเวลาที่ไปไหนมาไหนด้วยกัน หลานรักอยู่บนคอปู่่ ปู่ก็พาเดินและฝึกให้ขับบทกลอนไปด้วย หนังเรื้อยแสดงหนังบนโรง หลานรักก็นอนซุกตัวหลับอยู่ข้างๆปู่ เป็นอย่างนี้จนซึมซับซาบซึ้งอยู่ในวิถี

เรียนหนังสือ

หนังจำเนียร เรียนหนังสือชั้นประถมที่โรงเรียนวัดด่าน (วัดสโมสร) ข้างบ้าน เริ่มแสดงโนราก่อน เพราะปู่ยังไม่ให้เล่นหนัง บอกว่า “ให้โปตายก่อนแล้วมึงค่อยเล่นหนัง สี่ปีกะดัง” แต่หลานรักก็ไปแอบปู่ไปฝึกเล่นหนังกับคนข้างบ้านก่อนตั้งแต่อายุ ๑๒ ขวบ
ครั้นอายุ ๑๔ ปี ปู่ (หนังเรื้อย) เสียชีวิต จึงได้เริ่มแสดงหนังตะลุง โดยแสดงครั้งแรกที่วัดท่าสูง อำเภอท่าศาลา เพื่อเป็นมหรสพให้ชาวบ้านที่มาช่วยกันถากหญ้าในวัดได้ชม แสดงติดต่อกันหลายคืน ทั้งนี้โดยการอุปถัมภ์ของพ่อท่านคช (พระครูอาทรสังฆกิจ) เจ้าอาวาสวัดท่าสูง ตามที่หนังเรื้อยผู้เป็นปู่ได้ฝากฝังพ่อท่านคชไว้ให้ช่วยดูแลหลานด้วย

นางโนรา

เมื่อเริ่มต้นแสดงหนังนั้นไม่มีรูปหนังเป็นของตัวเอง ต้องยืมรูปหนังของหนังขำมาใช้ เป็นครั้งคราว
เรื่องที่แสดงในครั้งแรกๆนั้น เช่นเรื่อง “นางโนรา” (จำมาจากปู่-หนังเรื้อย) เรื่องสังข์ศิลป์ชัย เรื่องโคคาวี เรื่องแก้วหน้าม้า เรื่องโกมินทร์ เรื่องปลาบู่ทอง เป็นต้น ส่วนหนึ่งอาศัยเรื่องราวจาก “หนังสือวัดเกาะ” ที่พิมพ์จำหน่ายอยู่ในเวลานั้น
หลังจากที่แสดงหนังที่วัดท่าสูงอยู่ ๒-๓ ปี ต่อมาก็ได้ไปแสดงประจำที่โรงก๋งท่าศาลา ในช่วงประเพณีไหว้ก๋งประจำปี (ก่อนหน้านั้นหนังเรื้อย และหนังดอกไม้ แสดงมาก่อน) ทำให้มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักโดยทั่วไป เป็นไปตามคำสั่งของปู่หนังเรื้อยที่ว่า “สี่ปีกะดัง”
หนังจำเนียรแสดงหนังตะลุงที่โรงก๋งท่าศาลาเป็นประจำทุกปี แต่ละปีแสดงติดต่อกันทุกคืนเป็นเวลาแรมเดือน ใช้เวลาแสดงตั้งแต่หัวค่ำจนถึงเที่ยงคืน ได้ค่าราดโรงตั้งแต่คืนละ ๓๕ บาท จนค่าราดโรงขึ้นเป็นหลายพันบาท ติดต่อกันเป็นเวลาร่วม ๔๐ ปี
ชื่อเสียงของหนังจำเนียรเป็นที่รู้จักกันในวงกว้าง ครั้งที่โด่งดังที่สุดครั้งแรกๆก็คือ การประชันโรงและชนะหนังหมุนนุ้ย จังหวัดตรัง ซึ่งเป็นหนังรุ่นใหญ่มีชื่อเสียงทั่วภาคใต้ แข่งขันกันที่วัดศรีทวี อำเภอเมืองนครศรีธรรมราช นอกนั้นก็คือการแสดงแข่งขันประชันโรงในงานเทศกาลเดือนสิบแทบทุกปี ที่ผู้จัดงานต้องรับหนังจำเนียรไปแสดงเพื่อดึงดูดผู้คนจากท่าศาลาให้ไปเที่ยวชมงาน
สำหรับผู้แต่งเรื่องหนังตะลุงให้หนังจำเนียรแสดงมีหลายคน เช่น ครูริ่น บัณฑิต ลุงข้ำ ชื่นชม ลุงเขียน บ้านหนองหว้า เป็นต้น
หนังจำเนียรมีลูก ๙ คน ลูกชายฝึกเล่นหนัง ๒ คน คือ “เณรหมู-สมรักษ์ และ เณรนก-จุลทอง” แต่ไม่ได้ยึดเป็นอาชีพ โดยลูกทุกคนเป็นโนรา และต้องทำพิธีไหว้ครูเป็นประจำ
.
เรื่องราวจากคำบอกเล่าของ “หนังจำเนียร คำหวาน” ยังไม่จบ ยังมีอีกมากมายที่พรั่งพรูออกมาจากความทรงจำที่บอกเล่าโดยไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย..
ค่อยๆทยอยเก็บมาบอกเล่ากันไปเรื่อยๆนะครับ…
ลุงบุญเสริม
๓๑ พฤษภาคม ๒๕๖๒
(เก็บความจากการตั้งวงเสวนากับหนังจำเนียร คำหวาน เมื่อ ๒๕ พฤษภาคม ๒๕๖๒ ณ เรือนสัมมนาในสวนขวัญ จิรวรรณ แก้วพรหม)
.
เมื่อวัฒนธรรมเป็นพื้นที่แห่งการช่วงชิงความหมายอย่างไม่รู้จบ
โนราจึงเป็นโนราทั้งในแบบที่โนราเป็น ต้องเป็น และจำเป็นต้องเป็น
สายธารเรื่องราวของโนราที่ทยอยไหลบ่าเข้าหากัน
เป็นผลให้เกิดการผนวกผสาน เรียงลำดับ และจัดกลุ่มองค์ความรู้
ที่สำคัญคือ โนราเป็นวัฒนธรรมที่ยังมีลมหายใจและผู้เป็นเจ้าของ
เจ้าของวัฒนธรรมโนรานับได้ตั้งแต่ตัวโนรา นักดนตรี เจ้าภาพ ผู้ชม
หรือไปกว้างสุดที่คนใต้ทั้งหมดก็ไม่น่าจะผิด
ไม่ว่าจะด้วยการผนวกตัวเองเข้าเป็นส่วนสำคัญของพิธีกรรมฝ่ายบรรพชนหรืออย่างไรก็ตามแต่
เหล่านั้นทำให้โนราไม่เคยถูกตัดขาดออกจากวิถีชีวิตของผู้คนได้เลย
อีกจะเห็นได้ว่า บทบาทหน้าที่ของผู้ที่นิยามและถูกนิยามว่าเป็นโนรา
มักเป็นแหล่งข้อมูลสำคัญในกระบวนการเข้าใกล้ความรู้ว่าด้วยโนราอยู่เนือง ๆ
.
อย่างที่เกริ่นแล้วว่าโนรามีความเป็นพลวัตสูงในหลายมิติ ประกอบกับการเป็นวัฒนธรรมที่ยังคงมีชีวิตชีวาและผู้ร่วมเป็นเจ้าของ การสถาปนาความใดๆ ให้กับโนรา นอกจากเกิดส่วนได้ในวงนั้นๆ แล้ว ผลกลับกันที่จะมีต่อผู้ที่ถูกกีดออกนอกเกณฑ์ นอกย่าน นอกโยด เป็นสิ่งที่ควรต้องระแวงระวัง หรือไม่ก็ต้องจัดหาที่ทางและคำตอบไว้รองรับอย่างเหมาะสมฯ

โนรามดลิ้น ผู้รับพระราชทานนามสกุล “ยอดระบำ”

โนรามดลิ้น
ผู้รับพระราชทานนามสกุล “ยอดระบำ”

 

โนรา : มรดกทางวัฒนธรรมของมนุษยชาติ

ท่ามกลางการร่วมเฉลิมฉลองและชื่นชมยินดีในโอกาสที่ประชุมคณะกรรมการระหว่างรัฐบาลว่าด้วยการสงวนรักษามรดกวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ ครั้งที่ 16 ณ สำนักงานใหญ่ยูเนสโก กรุงปารีส สาธารณรัฐฝรั่งเศส ได้ประกาศขึ้นทะเบียน“โนรา : Nora, dance drama in southern Thailand” เป็นรายการตัวแทนมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ของมนุษยชาติ (Representative List of the Intangible Cultural Heritage of Humanity)หลายส่วนฝ่ายต่างแสดงบทบาทเพื่อร่วมเป็นส่วนหนึ่งกับเหตุการณ์ได้อย่างน่าสนใจ

.

โนราประกอบขึ้นได้ด้วยหลายองค์ประกอบ ทั้งผู้แสดง เครื่องแต่งกาย นักดนตรี เครื่องดนตรี ผู้ชม เจ้าภาพ วาระและโอกาส รวมถึงองค์ความรู้ในองค์ประกอบที่เกี่ยวข้อง อาจกล่าวได้ว่า โนราเป็นผลรวมของสหวิทยากรที่ผ่านการสั่งสมภูมิปัญญาและมีพลวัตอย่างต่อเนื่องยาวนาน โนราจึงไม่อาจมองหรืออธิบายได้โดยสรุปเพียงแค่แง่มุมใดแง่มุมหนึ่ง และเชื่อว่าหลังจากนี้ เมื่อยูเนสโก้ได้ประกาศรับรองอย่างเป็นทางการให้โนราเป็นมรดกทางวัฒนธรรมของมนุษยชาติแล้ว เราจะได้ศึกษาและคลี่มองโนรากันอย่างรอบขึ้น

.

หอสมุดแห่งชาติ นครศรีธรรมราช เปิดให้บริการภายใต้ภาพลักษณ์และรูปโฉมใหม่ หลายวันก่อนมีโอกาสเข้าไปเยี่ยมเยียน โดยเฉพาะห้องศรีวิชัย ที่รวบรวมข้อมูลท้องถิ่นภาคใต้ไว้อย่างหลากหลาย หนึ่งในนั้นมีหนังสือชื่อ “นครศรีธรรมราช” ที่ประกอบด้วยหัวข้อเรื่องเกี่ยวกับเมืองนครศรีธรรมราชไว้ในหลายมิติ ทั้งสังคม ภูมิศาสตร์ และวัฒนธรรม เพื่อให้สอดคล้องกับบรรยากาศที่ชุดความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับโนรามีความจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับการศึกษาอย่างเป็นระบบ จึงจะขอคัดที่เกี่ยวข้องกับอัตชีวิประวัติของโนรารุ่นเก่าของนครศรีธรรมราช นาม “มดลิ้น ยอดระบำ” มาให้ได้อ่านกันในที่นี้ (โดยจะขอปรับคำเรียกให้พ้องตามสากลว่า “โนรา” กับทั้งชั้นนี้จะเว้นการวิเคราะห์และตีความใด ๆ ไว้ เว้นแต่ข้อสังเกตเกี่ยวกับข้อมูลเกี่ยวกับการถ่ายทำท่ารำในหนังสือตำรารำไทย ที่ระบุว่าโนราที่ปรากฏรูปคู่กับหมื่นระบำบรรเลงนั้น อาจคือ “โนราเย็น” ดังจะได้สืบความต่อไป)

.

“โนรามดลิ้น เป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงมาก เป็นที่รู้จักแพร่หลายทั่วไปทั้งที่เมืองนครศรีธรรมราชและจังหวัดอื่น ๆ แม้แต่ในกรุงเทพมหานคร โนรามดลิ้นก็เคยเข้าไปรำเผยแพร่หน้าพระที่นั่งหลายครั้งหลายคราวจนเป็นที่รู้จักกันโดยทั่วไป และเนื่องจากความสามารถในการรำโนรานี้เอง ท่านผู้นี้จึงได้รับพระราชทานพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานนามสกุลจากพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวว่า “ยอดระบำ”

.

ชาตกาล

โนรามดลิ้น ยอดระบำ เกิดเมื่อวันเสาร์ ที่ 11 พฤษภาคม 2421 ตรงกับเดือน 6 ขึ้น 10 ค่ำ ปีขาล เป็นบุตรนายทอง นางนุ่ม เป็นหลานปู่ของนายบัวจันทร์ และย่าชุม เกิดที่บ้านหัวสะพานขอย หมู่ที่ 4 ตำบลควนเกย อำเภอร่อนพิบูลย์ จังหวัดนครศรีธรรมราช มีพี่น้องร่วมท้องเดียวกัน 4 คน คือ นางบึ้ง นายมดลิ้น นางลิบ และนางลม

.

เรียนขอม

เมื่ออายุประมาณ 7 ขวบ พ่อท่านทวดด้วงได้พาให้ไปศึกษาหนังสือไทยสมัยเรียน นอโม-พุท-ท่อ และเรียนเวทมนต์คาถากับพ่อท่านคงที่วัดเนกขัมมาราม (หน้ากาม) อำเภอร่อนพิบูลย์ จังหวัดนครศรีธรรมราช เมื่อเรียนหนังสืออ่านออกเขียนได้ดีแล้ว ท่านอาจารย์คงได้ฝากให้ไปเล่าเรียนวิชาไสยศาสตร์เพิ่มเติมกับท่านอาจารย์เกิดที่วัดป่าพะยอม จังหวัดพัทลุง กระทั่งมีความรู้อ่านออก เขียนหนังสือขอมได้

.

อุปสมบท

ครั้นอายุ 20 ปี ได้อุปสมบทเป็นพระภิกษุ จำพรรษาอยู่ที่วัดมัชฌิมภูผา อำเภอร่อนพิบูลย์ 1 พรรษา สมัยพระอาจารย์ภู่เป็นสมภาร และได้ศึกษาเล่าเรียนเวทมนต์คาถาเพิ่มเติมด้วย ต่อมาอายุ 22 ปี ได้สมรสกับนางทิม บุตรโนราปลอด-นางศรีทอง บ้านวังไส ตำบลสามตำบล มีบุตรด้วยกัน 7 คน คือ นายกลิ้ง นายคล่อง นายสังข์ นายไว นางพิน นางพัน และนายเจริญ

.

โนรามดลิ้น

โนรามดลิ้นได้ฝึกหัดรำโนราเมื่ออายุ 14 ปี โดยฝึกหัดกับโนราเดช บ้านหูด่าน อำเภอร่อนพิบูลย์ ซึ่งเป็นอาจารย์เดียวกันกับโนราหมื่นระบำบรรเลง (คล้าย พรหมเมศ หรือ คล้ายขี้หนอน) เมื่อรำเป็นแล้วได้เที่ยวรำกับอาจารย์ หมื่นระบำบรรเลง และโนราเถื่อน บ้านทุ่งโพธิ์ อำเภอร่อนพิบูลย์ ในสมัยก่อนโนราส่วนมากไม่ค่อยมีสตรีร่วมแสดงเหมือนอย่างทุกวันนี้ เมื่อจะแสดงเรื่องก็ใช้ผู้ชายแสดงแทน โนรามดลิ้นซึ่งกล่าวได้ว่าสมัยนั้นรูปหล่อ สุภาพ อ่อนโยน ก็ทำหน้าที่แสดงเป็นตัวนางเอกแทบทุกครั้ง และแสดงได้ถึงบทบาทจนกระทั่งคนดูสงสารหลั่งน้ำตาร้องไห้เมื่อถึงบทโศก

.

โนรามดลิ้นเที่ยวแสดงในงานต่าง ๆ แทบทั่วทั้งภาคใต้ จนมีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักกันแพร่หลาย นอกจากนี้เคยไปแสดงในงานสำคัญ ๆ ในกรุงเทพฯ หลายครั้ง ได้แก่

.

รำถวายหน้าพระที่นั่ง

ครั้งแรก ได้ไปรำถวายในพระบรมมหาราชวังเนื่องในงานราชพิธีหน้าพระที่นั่ง มีโนราคล้าย ขี้หนอน เป็นหัวหน้าคณะ เดินทางไปทางเรือรวมทั้งหมด 13 คน ในการรำถวายครั้งนี้ โนราคล้าย ขี้หนอน แสดงเป็นตัวพระ ส่วนโนรามดลิ้น แสดงเป็นตัวนาง หลังจากแสดงแล้วเสร็จ โนราคล้าย ขี้หนอน ได้รับพระกรุณาโปรดเกล้าฯ รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็นหมื่นระบำบรรเลง โนรามดลิ้นได้รับพระราชทานนามสกุล “ยอดระบำ” และในโอกาสเดียวกันเจ้าหน้าที่ฝ่ายศิลปินในสำนักพระราชวัง ได้จดบทกลอนท่ารำโนราและบทต่าง ๆ ไว้หลายบท เพื่อถือเป็นแบบฉบับสำหรับการศึกษาต่อไป

.

ครั้งที่สอง เมื่อ พ.ศ.2466 ได้ไปรำในงานพระราชพิธีที่ในพระบรมมหาราชวัง สมัยรัชกาลที่ 6 โดยหมื่นระบำบรรเลงเป็นหัวหน้า พร้อมด้วยโนรามดลิ้น ยอดระบำ โนราเสือ (ทุ่งสง) โนราพรัด (ทุ้งไห้ฉวาง) โนราคลิ้ง ยอดระบำ โนราไข่ร็องแร็ง (สามตำบล) พรานทองแก้ว พรานนุ่น กับลูกคู่รวม 14 คน

.

เมื่อกลับจากการแสดงครั้งนี้ชั่วระยะไม่ถึง 2 เดือน ทางราชการได้เรียกโนราให้ไปแสดงอีก แต่เนื่องจากครั้งนั้นโนรามดลิ้นได้นำคณะโนราส่วนหนึ่งเดินทางไปแสดงที่จังหวัดกระบี่ พังงา และอำเภอตะกั่วป่า (เดินเท้า) จึงไม่สามารถกลับมาและร่วมไปแสดงได้ หมื่นระบำบรรเลง จึงรวบรวมบรรดาศิษย์ไปแสดงเอง การแสดงครั้งนี้ เจ้าหน้าที่ฝ่ายศิลปากรได้ถ่ายรูปท่ารำโนราต่าง ๆ ของหมื่นระบำบรรเลงกับโนราเย็นไว้เป็นแบบฉบับเพื่อการเผยแพร่และการศึกษาของอนุชนรุ่นหลัง ดังปรากฎในหนังสือว่าด้วยตำรารำไทยในหอสมุดแห่งชาติ

.

ครั้งที่สาม เมื่อ พ.ศ. 2473 ได้ไปรำถวายในพระบรมมหาราชวังเนื่องในงานพระราชพิธีหน้าพระที่นั่งรัชกาลที่ 7 ครั้งนี้หมื่นระบำบรรเลงแก่ชรามาก จึงไม่ได้เดินทางไป มอบให้โนรามดลิ้น ยอดระบำ เป็นหัวหน้าคณะ นำโนรา 12 คนไปรำถวายแทน

.

เข้ากรมศิลปากร

ปลายปี พ.ศ. 2479 ครั้งหลวงวิจิตวาทการเป็นอธิบดีกรมศิลปากร ได้ริเริ่มปรับปรุงฟื้นฟูมหรสพพื้นเมืองทั่วไป ถึงได้เดินทางมาขอชมการรำโนราแบบโบราณที่เมืองนครศรีธรรมราช โนรามดลิ้น ยอดระบำ ได้นำคณะแสดงให้ชมที่เรือนรับรองของข้าหลวงประจำจังหวัดในสมัยนั้น ผู้แสดงมีโนราคลิ้ง อ้น เจริญ ปุ่น และพรานบก การแสดงเป็นที่พึงพอใจของอธิบดีเป็นอย่างยิ่ง จึงได้ขอตัวโนราเจริญและปุ่นไปอยู่ที่กรมศิลปากร เพื่อถ่ายทอดความรู้เกี่ยวกับโนราแบบโบราณให้แก่นักเรียนของโรงเรียนนาฏศิลป์ กรมศิลปากรได้ศึกษา และได้ให้โนราทั้งสองได้เล่าเรียนหนังสือไทยเพิ่มเติม พร้อมทั้งศึกษาท่ารำแบบต่าง ๆ ของกรมศิลปากรให้มีความรู้ความชำนาญยิ่งขึ้น โนราเจริญและปุ่น ศึกษาอยู่ที่กรมศิลปากรเป็นเวลา 1 ปี จึงได้กลับมายังนครศรีธรรมราช

.

ครั้งที่สี่ เมื่อ พ.ศ. 2480 ได้ไปรำในงานวันชาติที่ท้องสนามหลวงอีกครั้งหนึ่ง แต่คราวนี้ โนรามดลิ้นไปในฐานะหัวหน้าคณะเท่านั้น เพราะแก่ชรามากแล้ว รำไม่ได้ จึงให้โนราคลิ้ง ยอดระบำ ซึ่งเป็นบุตร แสดงแทน

.

นอกจากที่กล่าวมาแล้ว โนรามดลิ้น ยอดระบำ ได้เคยนำคณะไปรำในงานของทางราชการบ้านเมืองอีกหลายครั้ง ที่สำคัญ เช่น รำถวายรับเสด็จพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อคราวเสด็จประพาสภาคใต้ ซึ่งได้ทรงเสด็จในงานยกช่อฟ้าพระวิหารหลวง วัดพระมหาธาตุ วรมหาวิหาร นครศรีธรรมราช และรำในงานต้อนรับพลเอก พระยาพหลพลพยุหเสนา ซึ่งเดินทางมาตรวจเยี่ยมราชการจังหวัดนครศรีธรรมราช

.

ส่วนงานอื่น ๆ ที่เกี่ยวกับงานของเพื่อนฝูงและญาติพี่น้อง ในอำเภอหรือในจังหวัดใกล้เคียง โนรามดลิ้นได้นำคณะไปช่วยเหลืออยู่เป็นประจำเสมอ ในชีวิตของท่านจึงนับได้ว่าท่านใช้ความสามารถได้เกิดประโยชน์อย่างมาก

.

แพทยศาสตร์

นอกจากความสามารถของการรำโนราแล้ว โนรามดลิ้นยังสามารถบริการประชาชนในเรื่องยากลางบ้านอีกด้วย กล่าวคือท่านได้ศึกษาหาความรู้ทางแพทย์แผนโบราณ เป็นหมอรักษาผู้ที่ถูกยาสั่ง ถูกคุณไสยต่าง ๆ ตามหลักวิชาไสยศาสตร์อีกด้วย จึงนับได้ว่าท่านผู้นี้เป็นผู้ทำคุณประโยชน์ให้แก่สังคมอย่างกว้างขวางจนตลอดชีวิต

.

โนรามดลิ้น ยอดระบำ ถึงแก่กรรมเมื่อวันอังคารที่ 9 มกราคม 2511 เวลา 10.00 น. ด้วยโรคชรา ที่บ้านเลขที่ 181 หมู่ที่ 7 ตำบลร่อนพิบูลย์ อำเภอร่อนพิบูลย์ จังหวัดนครศรีธรรมราช สิริอายุได้ 92 ปี”

____

คัดจาก
วิเชียร ณ นคร. (2521). นครศรีธรรมราช. กรุงเทพมหานคร: อักษรสัมพันธ์.

ภาพปก
ถ่ายโดย KARPELÈS Suzanne ช่างภาพชาวฝรั่งเศษ
เมื่อเดือนมิถุนายน พุทธศักราช ๒๔๖๗
ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ ๖)

ต้นฉบับภาพเก่าโนรา ณ วัดพระมหาธาตุ วรมหาวิหาร จังหวัดนครศรีธรรมราช

ต้นฉบับภาพเก่าโนรา

ณ วัดพระมหาธาตุ วรมหาวิหาร นครศรีธรรมราช

 

โนรา : มรดกทางวัฒนธรรมของมนุษยชาติ

ท่ามกลางการร่วมเฉลิมฉลองและชื่นชมยินดีในโอกาสที่ประชุมคณะกรรมการระหว่างรัฐบาลว่าด้วยการสงวนรักษามรดกวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ ครั้งที่ 16 ณ สำนักงานใหญ่ยูเนสโก กรุงปารีส สาธารณรัฐฝรั่งเศส ได้ประกาศขึ้นทะเบียน“โนรา : Nora, dance drama in southern Thailand” เป็นรายการตัวแทนมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ของมนุษยชาติ (Representative List of the Intangible Cultural Heritage of Humanity)หลายส่วนฝ่ายต่างแสดงบทบาทเพื่อร่วมเป็นส่วนหนึ่งกับเหตุการณ์ได้อย่างน่าสนใจ

.

เมื่อราว 2 ปีก่อน บังเอิญมีโอกาสได้รับมอบหมายจาก ผศ.ฉัตรชัย ศุกระกาญจน์ ในฐานะประธานกรรมการด้านวิชาการ คณะกรรมการนำเสนอวัดพระมหาธาตุ วรมหาวิหาร สู่มรดกโลก ให้เป็นผู้ประสานงานกับสำนักหอจดหมายเหตุแห่งชาติ เพื่อขอคัดสำเนาภาพถ่ายเก่าที่เกี่ยวข้องกับเมืองนครศรีธรรมราช ได้ความกรุณาไว้หลายรายการ หนึ่งในนั้นเป็นสำเนาต้นฉบับที่บันทึกกิจกรรมภายในวัดของคณะบุคคลไว้ วาระนี้จะคัดออกเผยแพร่เฉพาะที่เห็นว่าเป็นภาพ “โนรา” ในวันสมโภชพระบรมธาตุเจดีย์ เมื่อครั้งรัชกาลที่ 5 เสด็จประพาสปักษ์ใต้ และดังระบุแล้วว่าได้คัดสำเนาแบบดิจิทัลจากต้นฉบับโดยตรง แม้หลายท่านจะเคยเห็นภาพเหล่านี้บ้างแล้ว แต่เชื่อว่าการเมื่อคลี่ขยายออกดูรายละเอียดจากต้นฉบับนี้ จะทำให้สามารถเห็นหรือเป็นประเด็นศึกษาต่อได้มากขึ้น

หมายเลขกำกับภาพของหอจดหมายเหตุแห่งชาติ 59M00005
เมื่อลองขยายดูส่วนประกอบต่าง ๆ
   
พราน ถ้าเป็นภาพสีแล้วเห็นเป็นหน้าขาวเสียหนึ่ง คงพอจะชี้ลงได้ว่าเป็นทาสีหนึ่ง พรานหนึ่ง
แต่อนุมานเอาก่อนจากสีพรานผู้ถอดเสื้อว่าคงเป็นพรานทั้งสอง ถอดเสื้อหนึ่ง ใส่หนึ่ง
 
โนรา เสียดายก็แต่ไม่ได้เห็นเครื่องทรงเต็มองค์ แต่พอจะสังเกตเห็นเล็บทั้ง 4 ที่ดูเหมือนจะสอดลูกปัดไว้เล็บละเม็ดสองเม็ด
  ดูเหมือนว่าท่าจับในลักษณะนี้จะพบเห็นได้ยากแล้วในปัจจุบัน อาการที่หัวจุกใช้ร่องศอกขวาเกี้ยวขาขวาขึ้นเป็นท่าขี้หนอน
ในขณะที่มือกำกระบองสั้นไว้ ส่วนมือซ้ายก็ยื้อยุดกับหัวจุกอีกคนในท่าเดียวกัน
โนรา เป็นที่ทราบโดยทั่วไปว่าถ้าโนราเกี้ยวขาขึ้นแล้วเป็นอันรับรู้ร่วมกันว่าคือท่าขี้หนอน
ขี้หนอนนี้เป็นชื่อเรียกกินนรอย่างทางใต้ ขี้หนอนจึงอาจคือท่าเอกลักษณ์ของโนรา
โดยส่วนตัวตรึงตากับโนรานายนี้มาก
จะติดก็แต่จินตนาการไม่ออกว่าท่าส่งขึ้นขี้หนอนนี้มาอย่างไรและจะเยื้องท่าไปอย่างไรต่อ
ภาพนี้เห็นส่วนสนับเพลา คือส่วนที่ครูมโนห์รารุ่นก่อนมักเรียกว่า “ขากางเกง”
มีเฉพาะส่วนขา ปลายสุดสอดเชือกไว้สำหรับรูดคล้ายปลอกหมอนข้างในปัจจุบัน
มีของโบราณอย่างที่ว่าอยู่ในพิพิธภัณฑ์วิหารคด วัดพระมหาธาตุ วรมหาวิหาร จังหวัดนครศรีธรรมราช
ตรงนี้น่าสนใจ เพราะอาจสะท้อนความเชื่อโบราณว่าหากยังเป็นหัวจุกอยู่จะสวมเทริดไม่ได้
ต้องผ่านพิธีตัดจุกผูกผ้าครอบเทริดเสียก่อน ในภาพนี้ดูจะเป็นโนราที่เยาว์นักเมื่อเทียบกับนายขี้หนอนก่อนหน้า
อาจเป็นไปได้ว่าจะตัดจุกตามคติโบราณฝ่ายนครเหมือนที่เคยคุยกับบุตรสาวขุนพันธรักษ์ราชเดช ว่าเด็กชายตัด 13 เด็กหญิงตัด 11
คิดว่าคงเพิ่งผ่านพิธีกรรมตัดจุกผูกผ้าครอบเทริดมาหมาดๆ
ส่วนพรานผู้นั่งมหาราชลีลาในท่าประนมมือพร้อมผ้าพาดบ่านั้น ไม่ตีบทอยู่ ก็กำลังอัญชลีผู้อยู่หลังกล้อง
ลูกคู่ สังเกตจากภาพแล้วดูเหมือนจะนั่งล้อมวงกันมุมนี้เห็นหลังนายโหม่ง
สวมเสื้อแพร นั่งเสื่อท่าพับเพียบเก็บปลายเท้าเสียด้วย
โนราประกอบขึ้นได้ด้วยหลายองค์ประกอบ ทั้งผู้แสดง เครื่องแต่งกาย นักดนตรี เครื่องดนตรี ผู้ชม เจ้าภาพ วาระและโอกาส รวมถึงองค์ความรู้ในองค์ประกอบที่เกี่ยวข้อง อาจกล่าวได้ว่า โนราเป็นผลรวมของสหวิทยากรที่ผ่านการสั่งสมภูมิปัญญาและมีพลวัตอย่างต่อเนื่องยาวนาน โนราจึงไม่อาจมองหรืออธิบายได้โดยสรุปเพียงแค่แง่มุมใดแง่มุมหนึ่ง และเชื่อว่าหลังจากนี้ เมื่อยูเนสโก้ได้ประกาศรับรองอย่างเป็นทางการให้โนราเป็นมรดกทางวัฒนธรรมของมนุษยชาติแล้ว เราจะได้ศึกษาและคลี่มองโนรากันอย่างรอบขึ้นฯ
___
ภาพปก หมายเลขกำกับภาพของหอจดหมายเหตุแห่งชาติ 74M00036
ภาพในเรื่องและภาพส่วนขยาย หมายเลขกำกับภาพของหอจดหมายเหตุแห่งชาติ 59M00005
ปล. ท่านผู้ประสงค์จะนำภาพไปใช้เพื่อกิจใด ๆ ขอความกรุณาศึกษาวิธีการใช้ภาพจากหอจดหมายเหตุแห่งชาติให้ถี่ถ้วนก่อนนะครับ

พญามือเหล็ก พญามือไฟ: ครูหมอ-ตายายโนราในพระราชพงศาวดาร

พญามือเหล็ก พญามือไฟ
ครูหมอ-ตายายโนราในพระราชพงศาวดาร

 

ครูหมอโนรา

ในชั้นนี้จะเว้นการนิยามคำว่าครูหมอกับตายาย

เพราะส่วนตัวเชื่อว่าหากสืบขึ้นไปลึกๆ

คงพล่ายกันแยกไม่ขาด

.

ห้วง ๑๕ วันตามความเชื่อ

ตั้งแต่แรกรับตายายมาในวันแรมค่ำ ๑ เดือนสิบ

บังเอิญให้ใคร่จะอ่านพระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยา

ในความหนา ๘๐๐ หน้า

จึงตั้งใจว่าจะแค่กวาดสายตา

หาคำว่า “นครศรีธรรมราช” เป็นพื้น

.

ยังไม่ทันถึงที่หมาย ภารกิจที่ว่าก็เสร็จเสียก่อน

เลยเปิดเล่นไปมา อ่านทวนแต่ละเรื่องเพื่อสอบความ

.

ความจริง

เคยมีแรงบันดาลใจให้ค้นเรื่องทำนองนี้แล้วครั้งหนึ่ง

จากเล่มเดียวกันนี้

คราวนั้นพบตำแหน่งมหาดเล็ก

ปรากฏในชื่อขุนนางวังหลวง ฉบับคำให้การชาวกรุงเก่า

“หลวงนายศักดิ์ หลวงนายสิทธิ์ หลวงนายฤทธิ์ หลวงนายเดช”

ซึ่งก็ไปช่วยคลี่คลายบางอย่าง

เกี่ยวกับชื่อบุคคลที่ปรากฏอยู่ในบทกาศครูของชาตรี

“แต่แรกพ่อเป็นหลวงนายฯ”

แม้คำตอบที่ได้จะเป็นเพียงการยืนยันการมีตัวตน

แต่ความสัมพันธ์ระหว่างชาตรีกับราชสำนัก

เป็นอะไรที่อาจสาวความไปได้จากจุดนี้

.

เช่นเดียวกัน

พญามือเหล็ก และ พญามือไฟ

ก็ปรากฏในบทกาศครูของชาตรีว่า

“ไหว้(พ)ญามือเหล็ก(พ)ญามือไฟ

จะไหว้ใยตาหลวงคงคอฯ”

.

ทั้งสองพญามีชื่อ

ก็ถูกกล่าวถึงในพระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยา

ฉบับพันจันทนุมาศ (เจิม)

ว่ามีชีวิตในรัชกาลสมเด็จพระมหินทราธิราช

เป็นแม่ทัพฝ่ายกรุงศรีสัตนาคนหุต

มีบทบาทสำคัญในศึกชิงเมืองพระพิษณุโลก

.

อย่างที่กล่าวแล้วว่า

นอกจากความนี้จะยืนยันตัวตนประการหนึ่ง

ความสัมพันธ์ของพื้นที่ต้นขั้วกับแหล่งวัฒนธรรมปัจจุบัน

เป็นเรื่องน่าสนใจ

การตกค้างผูกพันอยู่กับความเชื่อในฐานะบรรพชน

ทำให้เชื่อได้ว่าคนลาวกับชาวใต้

มีการยักย้ายถ่ายเทสัมพันธ์กันในลักษณะเครือญาติ

มานานแล้วตั้งแต่อดีต

ก่อนที่ความลาว ความไทย และความใต้

จะมาแยกเราขาดจากกัน

.

บทความอันนี้ถูกเขียนขึ้นอย่างคร่าวๆ

ระหว่างนั่งรถกลับนคร

ไม่มีอะไรเป็นสรณะนอกจากหนังสือเล่มที่ว่า

ขอบพระคุณความเห็นจากกัลยาณมิตร ดังนี้

.

พี่สุรพงศ์ เอียดช่วย

“หวังว่าซักวันหนึ่ง

เราจะสืบค้นระบุการมีตัวตนของครูต้นได้ชัดเจน

ว่าท่านคือผู้ใดบ้างในห้วงประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา”

.

ดร.อัครินทร์ พงษ์พันธ์เดชา

“ลอง search ดู เจ้าพ่อข้อมือเหล็ก ครับ

พระญาข้อมือเหล็ก สมัยหริภุญไชย

น่าจะปรากฏอยู่ใน ตำนานมูลศาสนา ถ้าจำไม่ผิด

ที่ลำปาง ก็มี เจ้าพ่อข้อมือเหล็ก

ส่วนเชียงใหม่ มีศาลเจ้าพ่อแขนเหล็ก

อยู่บริเวณที่เคยเป็นวังพระญามังราย กลางเมืองเชียงใหม่ ครับ

อาจจะเป็นตำแหน่งที่มีมาแต่เดิมในยุค ทวารวดี

เพราะ พระญาข้อมือเหล็ก เป็นตำแหน่งเสนาบดี

คู่พระญาบ่อเพ็ก ของพระนางจามเทวี ที่มาจากละโว้ ครับ”

.

ดร.วิทยา อาภรณ์

“จำได้ว่าที่ภาคเหนือพบเจ้าข้อมือเหล็ก

พญาข้อมือเหล็กเป็นผีชั้นสูงประจำพื้นที่ ผีขุนน้ำบ่อยเลย ชาวบ้านเลี้ยงประจำปี

น่าคิด มีเวลาน่าขยายจริง ๆ รูปแบบภาษา ประเพณี บ้านเรือน ยังพอให้สืบได้ ช้าไปก็ยิ่งจาง”

.

แต่คิดดูแล้ว เรื่องนี้เป็นประโยชน์

อย่างน้อยก็ในระดับความเข้า(ไปใน)ใจ

กับทั้งเป็นเครื่องพยุงศรัทธาของลูกหลาน

เพื่อยืนกรานสิ่งที่เรียกว่า “ความกตัญญู”

แม้ในชีวิตจริง เรื่องนี้ไม่จำเป็นต้องมีหลักฐาน

เพราะถ้าปลายทางแจ้งอยู่กับใจ

ก็ใช่ว่าจะต้องเที่ยวใส่บ่าแบกหามภาระใดให้หนักตัว

 

ปล. การเทครัวปากเหนือลงมาปากใต้สมัยพระราเมศวรคงเป็นหมุดหมายสำคัญที่ต้องตามต่อ
ขอบพระคุณภาพปกจากหนังสือพิมพ์รายสัปดาห์ จำหน่ายในหมู่ข้าหลวงเดิมในพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว พ.ศ. ๒๔๕๑