คุณแสนภูมิ กล้าอยู่ ผู้นำชุมชนยุคใหม่ พัฒนาความร่วมมือสร้างรายได้ชุมชน

จุดเริ่มต้นจากคนตัวเล็กที่ชื่นชอบการทำกิจกรรมตั้งแต่วัยเด็ก ผสมผสานวิทยาการความรู้อันหลากหลายของคนในชุมชน บวกกับทักษะด้านภาษาของตนเอง เชื่อมโยงการมีส่วนร่วมของคนในชุมชนผ่านประเพณีวัฒนธรรม จนเกิดเป็นหลายโครงการที่นำมาซึ่งความภาคภูมิใจในชุมชน ทางนครศรีสเตชั่นมีความยินดีอย่างยิ่งที่จะแนะนำให้ทุกท่านรู้จักกับคนต้นแบบเมืองนคร ผู้ที่อยู่ทั้งเบื้องหน้าและเบื้องหลังโครงการชุมชนท่องเที่ยวบ้านบางดี คุณแสนภูมิ กล้าอยู่ ผู้นำชุมชนยุคใหม่ พัฒนาความร่วมมือสร้างรายได้ชุมชน

บทบาทของนักคิด นักกิจกรรม สานต่องานที่ทำตั้งแต่วัยเด็กจนถึงปัจจุบัน

ช่วงชีวิตในวัยเด็กของคุณแสนภูมิ เรียกได้ว่าเป็นกิจกรรมตัวยง ไม่ว่าจะเป็นนักกลอนประจำโรงเรียนที่เข้าร่วมการประกวดต่างๆ คณะกรรมการนักเรียน กิจกรรมสภาเด็ก  จนเมื่อเข้าสู่รั้วมหาวิทยาลัยราชภัฏนครศรีธรรมราช ยังคงทำงานในรูปแบบเดิมอยู่ มีโอกาสได้เป็นผู้นำนักศึกษา ทำกิจกรรมเกี่ยวกับค่ายอาสา ภาคีเครือข่ายที่สร้างสัมพันธภาพกับทางชุมชน รวมถึงงานของสภาเด็กและเยาวชนตำบลเสาเภาที่ทำอย่างต่อเนื่องมาเป็นเวลาหลายปี เด็กๆ ต่างเรียกขานคุณแสนภูมิว่า “ป้าแสน”  ซึ่งโครงการแต้มสีแต้มใจน้อง เป็นกิจกรรมแรกของคุณแสนภูมิที่ทำร่วมกับทางสงขลาฟอรั่ม ในตอนนั้นถือเป็นเรื่องใหม่มากสำหรับชุมชน ซึ่งได้รับความสนใจและความร่วมมือจากเด็กๆ และผู้ปกครองเป็นอย่างดี

ในช่วงชั้นปีที่ 3 ขณะกำลังศึกษาอยู่ระดับปริญญาตรี ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่นักศึกษาต้องฝึกงาน คุณแสนภูมิเลือกฝึกงานที่โรงเรียนที่ตัวเองเคยเป็นนักเรียนมาก่อน ฝึกสอนนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 – 6  และดูแลในส่วนของคณะกรรมการนักเรียน ช่วยไกด์ไลน์กิจกรรมต่างๆ อย่างกิจกรรม Zero Project เริ่มจากการทาสีชั้นวางหนังสือของห้องสมุดโรงเรียน เปลี่ยนโฉมห้องสมุดให้น่าเข้ามากขึ้น กิจกรรมสภาเด็กที่ทำให้นักเรียนเข้าใจ และเข้าถึงชุมชนที่ตัวเองอยู่อาศัยมากขึ้น เชื่อมโยงความสัมพันธ์ระหว่างวัด โรงเรียน และชุมชน วาดกำแพงวัดผ่านการทำกิจกรรมและใช้สื่อการเรียนรู้ต่างๆ เช่น กิจกรรมเขียนฝันวรรณศิลป์ ที่คุณแสนภูมิใช้ความถนัดส่วนตัวอย่างการเขียนกลอนมาฝึกสอนนักเรียน กิจกรรมวาดฝันวรรณทัศน์ สร้างสรรค์ผลงานศิลปะผ่านกำแพงวัดและกิจกรรมคหกรรมนำอาชีพ การทำผ้ามัดย้อมที่สกัดสีจากต้นปอทะเล การทำเรือพนมพระ โดยแบ่งหน้าที่ให้เด็กๆ แต่ละคนรับผิดชอบ จากนั้นเด็กๆ ต้องหาทีมงานและบริหารจัดการงานที่ได้รับมอบหมายด้วยตัวเอง เป็นการฝึกทักษะการเป็นผู้นำ ทักษะในการมีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น

ผู้นำชุมชนยุคใหม่ พัฒนาความร่วมมือสร้างรายได้ชุมชน

การที่จะชักชวนให้คนในชุมชนร่วมกันทำกิจกรรมอะไรสักอย่างนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย กิจกรรมการเข้าร่วมการประกวดขบวนแห่เรือพนมพระในนามวัดขรัวช่วย ตำบลเสาเภา ในครั้งแรกนั้นเรียกได้ว่าติดขัดแทบทุกเรื่อง ซึ่งคุณแสนภูมิมีความตั้งใจว่าจะเข้าไปขอความร่วมมือจากทุกกลุ่มชุมชน ทั้งช่างศิลป์ ช่างไม้ นางรำ ผู้สูงอายุ กลุ่มเด็กและเยาวชน เมื่อคนในชุมชนทยอยกันช่วยงาน บวกกับการประชาสัมพันธ์อย่างทั่วถึง ทำให้คนอื่นๆ ในชุมชนเกิดการตื่นตัวและสนใจเข้าร่วมงานเป็นจำนวนไม่น้อย ส่งผลให้เรือพระของวัดขรัวช่วยมีจำนวนคนในขบวนเยอะที่สุด และได้รับรางวัลขบวนแห่ยอดเยี่ยม คุณแสนภูมิมองว่า จุดเริ่มต้นจากพลังของเด็กๆ ส่งต่อไปยังผู้ปกครอง จนเกิดการชักชวนต่อไปยังคนรู้จัก เกิดเป็นภาคีเครือข่ายในชุมชนขึ้นมา ตลอดระยะเวลา 4 ปีที่ผ่านมา จากจุดเริ่มต้นของความร่วมมือกันของคนในชุมชน เมื่อถึงงานประเพณีชักพระ กลายเป็นว่าร้านค้าในชุมชนต่างพากันปิดร้านเพื่อไปร่วมงาน แทบทุกบ้านร่วมมือร่วมใจกัน

กลุ่มชุมชนท่องเที่ยวบ้านบางดี ตำบลเสาเภา อำเภอสิชล ที่คุณแสนภูมิเป็นประธานกลุ่ม จุดเริ่มต้นจากการที่มีโอกาสได้พูดคุยกับอาจารย์พัชรี สุเมโธกุล  (หนึ่งในคนต้นแบบนครศรีสเตชั่น) บอกเล่าเกี่ยวกับเรื่องราวของชุมชนในโครงการที่อาจารย์เข้าไปเป็นที่ปรึกษา การพูดคุยในตอนนั้นคุณแสนภูมิมีความรู้สึกว่าอยากที่จะทำชุมชนการท่องเที่ยวมาก แต่ยังไม่รู้ว่าจะประสานงานกับคนในชุมชนได้อย่างไร คุณแสนภูมิให้เหตุผลว่าถือเป็นเรื่องใหม่มากสำหรับชุมชน เมื่อทางอาจารย์พัชรีเข้ามาให้ความช่วยเหลือ คุณแสนภูมิจึงระดมกลุ่มคนที่รู้จัก ดึงแต่ละเครือข่ายในชุมชนมาเข้าร่วม เพื่อวางแผนเส้นทางการเดินทาง พัฒนาอาหารท้องถิ่น กิจกรรมพายเรือคายัคชมอุโมงค์โกงกางบ้านบางดี กินอาหารท้องถิ่นประจำฤดูกาล ซึ่งบางดีมีทรัพยากรธรรมชาติที่สวยงาม และเป็นแหล่งอาหารทะเลอันอุดมสมบูรณ์ อย่างฤดูฝนต้องกินข้าวมันมะพร้าวกับพร้าวคั่ว และน้ำพริกส้มขามอ่อน ฤดูร้อนก็ต้องกินข้าวมันทะเล เป็นต้น

เอกลักษณ์ของคนบ้านบางดีจะเป็นคนที่สนุกสนาน ชอบกิจกรรมร้องรำทำเพลง มีความใกล้ชิดกับศิลปวัฒนธรรมอย่างโนราห์และหนังตะลุง เป็นชุมชนที่มีวัฒนธรรมหลากหลาย เมื่อเปิดตัวโครงการชุมชนท่องเที่ยวบ้านบางดีให้คนในพื้นที่รู้จัก ก็ได้รับความร่วมมือจากหลายสื่อในการช่วยเหลือประชาสัมพันธ์โครงการ มีคณะทัวร์ให้ความสนใจ แต่โชคไม่ดีนักที่จังหวะนั้นทั่วโลกกำลังได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19  แต่คุณแสนภูมิมองว่าอย่างน้อยก็ได้เริ่มลงมือทำ คนในชุมชนเริ่มตื่นตัวกันมากขึ้นกว่าเดิม ทุกฝ่ายมีเวลาได้เตรียมตัวกันมากขึ้น ทั้งการปรับปรุงภูมิทัศน์ เตรียมผลิตภัณฑ์ที่เป็นสินค้าในการจำหน่าย ได้รื้อฟื้นงานหัตถกรรมประจำท้องถิ่น เมื่อถึงเวลาที่สถานการณ์ดีขึ้น ทางชุมชนก็พร้อมที่จะเปิดบ้านต้อนรับนักท่องเที่ยว

แน่นอนว่าแต่ละชุมชนมีต้นทุนทางทรัพยากรและวัฒนธรรมที่ต่างกัน อย่างโครงการชุมชนท่องเที่ยวซึ่งเป็นการนำเสนอเอกลักษณ์ของชุมชน จำเป็นจะต้องศึกษาเพิ่มเติมเพื่อเก็บรายละเอียดให้ได้มากที่สุด แล้วนำมาปรับให้เข้ากับวิถีชีวิตของคนในชุมชน การที่คนในชุมชนจะร่วมมือกันได้ต้องอาศัยความเชื่อใจกัน ความเคารพซึ่งกันและกัน ผู้นำจึงมีบทบาทสำคัญในการเชื่อมโยงคนทุกวัยเข้าหากัน แม้ต้องเจอกับอุปสรรค ความท้าทายต่างๆ แต่เมื่อก้าวแรกได้เริ่มต้นแล้ว ก้าวต่อไปย่อมเกิดขึ้นเสมอ แม้เป็นก้าวเล็กๆ ก็อาจนำไปสู่การเดินทางที่เราเองคาดไม่ถึงก็เป็นได้

ชมรายการ Live สด  “ฅนต้นแบบ งานต้นแบบ เมืองนคร” ได้ทุกวันจันทร์ เวลา ๑๙.๓๐-๒๐.๓๐ น. ได้ที่นี่

*****************************************

ร่วมสนับสนุนผลิตสื่อ “สร้างรายได้ชุมชน กระตุ้นการท่องเที่ยว” ติดต่อโฆษณา ประชาสัมพันธ์ธุรกิจ นำสินค้ามาขายร่วมกัน Nakhonsistation 092-6565-298 คุณ เกียรติ

อาชีวะสร้างคน เด็กอาชีวะสร้างชื่อเมืองนคร คุณ ณภัทร มาศเมฆ และ คุณ เสกสรร ขันเพชร พร้อมคณะอาจารย์

“อาชีวะสร้างคน คนสร้างชาติ” คือวลีหนึ่งที่สะท้อนถึงความสำคัญของระบบการเรียนและบุคลากรในหลักสูตรการศึกษาในสายอาชีพ แต่ทว่าในโลกแห่งความเป็นจริงนั้นเด็กอาชีวะกลับกลายเป็นกลุ่มเด็กที่ไม่ค่อยได้รับโอกาสมากอย่างที่ควรจะเป็น ด้วยเพราะค่านิยมที่เรามักจะปลูกฝังให้ลูกหลานเข้าศึกษาต่อในสายสามัญเพื่อเป้าหมายที่สูงขึ้นในระดับอุดมศึกษาต่อไปนั่นเอง แม้จะเป็นกลุ่มคนที่ถูกมองข้ามความสำคัญแต่เมื่อโอกาสมาถึงก็ยังมีเด็กอาชีวะคู่หนึ่งที่สามารถคว้าโอกาสสำคัญนั้นเอาไว้ได้และต่อยอดไปสู่ความสำเร็จเป็นรางวัลชนะเลิศถ้วยพระราชทานในระดับประเทศ ในวันนี้เราจะมาทำความรู้จักกับเด็กอาชีวะที่สามารถสร้างชื่อเสียงในระดับประเทศและเป็นคนต้นแบบทั้ง 2 คนคือ น้องแคน ณภัทร มาศเมฆและน้องน็อต เสกสรร ขันเพชร รวมถึงอาจารย์ผู้คุมการฝึกซ้อมอย่างอาจารย์อรอุมา ทองโอ อาจารย์ประจำแผนกวิชาช่างอิเล็กทรอนิกส์ วิทยาลัยการอาชีพนครศรีธรรมราช

ทำความรู้จักกับ 2 คนเก่งผู้สร้างชื่อในระดับประเทศและผู้อยู่เบื้องหลังความสำเร็จ

2 คนเก่งผู้เป็นต้นแบบที่สร้างความภูมิใจให้กับชาวนครศรีธรรมราชจากผลงานชนะเลิศการแข่งขันสุดยอดทักษะสายสัญญาณและเน็ตเวิร์คก็คือน้องแคน ณภัทร มาศเมฆ ซึ่งก่อนที่จะมาเข้าศึกษาต่อที่วิทยาลัยการอาชีพนครศรีธรรมราชนั้นน้องแคนเคยศึกษาที่โรงเรียนเฉลิมราชประชาอุทิศซึ่งหลังจากเรียนจบในระดับชั้น ม.3 น้องแคนได้เลือกที่จะศึกษาต่อที่วิทยาลัยการอาชีพนครศรีธรรมราชโดยได้แรงบันดาลใจมาจากน้าชายที่เป็นศิษย์เก่าจากที่วิทยาลัยการอาชีพแห่งนี้

ในขณะที่น้องน็อต เสกสรร ขันเพชร เองก็เลือกที่จะศึกษาต่อที่วิทยาลัยการอาชีพนครศรีธรรมราชเมื่อจบการศึกษาระดับชั้น ม.6 จากการแนะนำของเพื่อนฝูงที่เรียนที่วิทยาลัยการอาชีพแห่งนี้อยู่ก่อนแล้ว ซึ่งทั้งสองได้เลือกเรียนในสาขาช่างอิเล็กทรอนิกส์

อาจารย์อรอุมา ทองโอ อาจารย์ประจำแผนกวิชาช่างอิเล็กทรอนิกส์ วิทยาลัยการอาชีพนครศรีธรรมราชและ เป็นผู้ประสานงานและควบคุมการฝึกซ้อมให้กับทีมนี้เองก็เป็นศิษย์เก่าของวิทยาลัยแห่งนี้เช่นกัน ด้วยความรักในสถาบันอาจารย์อรอุมาเองจึงเลือกที่จะกลับมาเป็นอาจารย์ประจำอยู่ที่วิทยาลัยแห่งนี้เพื่อถ่ายทอดความรู้ให้กับลูกศิษย์ผู้ที่เปรียบได้ดั่งรุ่นน้องของอาจาราย์อรอุมาเช่นกัน

การเรียนการสอนที่ประดุจดั่งคนในครอบครัวกับความภูมิใจของชาวการอาชีพ

ที่วิทยาลัยการอาชีพนครศรีธรรมราชนี้คือสถานศึกษาแห่งโอกาส เป็นสถานศึกษาแห่งแรงบันดาลใจที่ทุกคนพร้อมจะประคับประคองให้นักเรียนอาชีวะจากที่นี่ทุกคนได้เติบโตออกไปอย่างมีคุณภาพ โดยตลอดระยะเวลาในการเรียนที่นี่ อาจารย์ทุกท่านจะมุ่งเน้นการเรียนการสอนทั้งภาคทฤษฎีและภาคปฏิบัติที่ให้นักเรียนอาชีวะทุกคนได้รับประสบการณ์จริงที่แสนจะล้ำค่า รวมไปถึงการออกปฏิบัติงานจริงเพื่อเพิ่มพูนทักษะและประสบการณ์ให้กับนักเรียนอาชีวะทุกคนของสถาบัน ด้วยรากฐานแห่งความรัก ความผูกพันประดุจดั่งคนในครอบครัวเดียวกันของแผนกช่างอิเล็กทรอนิกส์จึงเป็นเบ้าหลอมที่สำคัญที่ทำให้น้อง ๆ ทั้ง 2 คนสามารถสร้างชื่อเสียงให้กับทั้งวิทยาลัยและกับจังหวัดนครศรีธรรมราชได้อย่างเต็มภาคภูมิ

การแข่งขันระดับชาติกับโจทย์สุดหินและสถานการณ์โควิดคืออุปสรรคสำคัญที่ทั้ง 2 คนต้องก้าวผ่าน

การแข่งขันสุดยอดทักษะสายสัญญาณและเน็ตเวิร์คซึ่งจัดโดยบริษัท อินเตอร์ลิ้งค์ คอมมิวนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) ซึ่งเป็นครั้งที่ 9 ในปีนี้ การแข่งขันนี้ถูกจัดขึ้นเพื่อคัดเลือกนักเรียนนักศึกษาทั้งระดับอาชีวะและระดับอุดมศึกษาเพื่อคัดเลือกเป็นตัวแทนประเทศไทยไปแข่งขันอาเซียนสกิลทางด้านทักษะสายสัญญาณและเน็ตเวิร์ก โดยผู้เข้าแข่งขันจะต้องแข่งรอบคัดเลือกในระดับภูมิภาคเพื่อหาตัวแทนเข้าแข่งขันรอบสุดท้ายที่จังหวัดนครนายก โดยจากสถานการณ์โควิดทำให้การแข่งขันรอบคัดเลือกต้องแข่งกันผ่านระบบ Zoom ซึ่งน้อง ๆ ทั้ง 2 คนก็สามารถผ่านเข้าไปสู่รอบสุดท้ายได้สำเร็จ

และโจทย์สุดหินในรอบสุดท้ายคือการติดตั้งระบบ UTP กับ fiber optic ซึ่งมีความซับซ้อนเป็นอย่างมากและน้องทั้ง 2 คนก็ไม่ทำให้ทุกคนต้องผิดหวังโดยน้องแคนสามารถทำผลงานได้คะแนนสูงสุดจนได้ตำแหน่งชนะเลิศและคว้าถ้วยพระราชทานของสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารีมาได้สำเร็จในขณะที่น้องน็อตเองก็สามารถคว้ารางวัลชมเชยและความภูมิใจมาให้กับสถาบันได้เช่นกัน

ความร่วมมือและความเกื้อกูลระหว่างครูอาจารย์ ผู้บริหารและรุ่นพี่คือองค์ประกอบของความสำเร็จในครั้งนี้

โจทย์ที่สุดหินนี้ก็เกือบจะทำให้อาจารย์อรอุมาและน้อง ๆ ต้องถอดใจกันแล้วเพราะการเชื่อมต่อสาย fiber optic จำเป็นที่จะต้องใช้อุปกรณ์เชื่อมต่อสายที่มีราคาแพงมาก แต่ด้วยเพราะมีศิษย์เก่าที่ทำงานในด้านนี้ให้ยืมเครื่องมือมาเพื่อให้น้องทั้ง 2 คนได้ใช้ฝึกซ้อมเพื่อเตรียมตัวในการแข่งขัน และมีรุ่นพี่ศิษย์เก่าที่เคยมีประสบการณ์ในการแข่งขันรายการนี้มาก่อนมาช่วยฝึกซ้อมและแนะนำแนวทางในการแข่งขันโดยจะเน้นการวางแผนเพื่อทำคะแนนให้ดีที่สุด ช่วยสอนวิธีคิด ฝึกทักษะกระบวนการคิดและการวางแผนให้กับน้อง ๆ ทั้งสองคน บวกกับวิสัยทัศน์ของผู้บริหารวิทยาลัยที่สนับสนุนการแข่งขันนี้เพื่อให้นักเรียนสามารถพัฒนาทักษะและความสามารถของตนเองอย่างเต็มที่และยังได้รับความช่วยเหลือจากคณะครูในวิทยาลัยอาชีพหลาย ๆ ท่าน ทำให้การแข่งขันครั้งนี้ประสบความสำเร็จก็ด้วยเพราะความร่วมมือของบุคลากรทุกฝ่ายที่กล่าวมาแล้วนั่นเอง

ความสำเร็จที่เกิดขึ้นมีส่วนสำคัญมาจากความมุ่งมั่นและไม่ย่อท้อของน้องทั้งสองคน

แม้ความร่วมมือของทุกฝ่ายจะผลักดันให้เกิดความสำเร็จนี้ขึ้นมา แต่พระเอกของงานนี้ก็จะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากน้องทั้ง 2 คนทั้งน้องแคนและน้องน็อต โดยน้องทั้งสองคนต้องใช้ความมุ่งมั่นและไม่ย่อท้อในการฝึกซ้อมเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะในการแข่งรอบสุดท้ายที่การซ้อมในแต่ละครั้งล้วนกินเวลาไม่ต่ำกว่า 3 ชั่วโมง แต่ก่อนที่จะมาถึงจุดนี้นั้นน้องแคนเองก็เคยพยายามมาหลายครั้งที่จะเป็นตัวแทนของวิทยาลัยให้ได้แต่ก็ไม่ผ่านสักทีจนมาประสบความสำเร็จในครั้งนี้ ในขณะที่น้องน็อตเองก็เพิ่งเข้ามาสู่การเรียนในสายอาชีพได้เพียง 1 ปี เท่านั้นการฝึกซ้อมที่เกิดขึ้นจึงสร้างแรงกดดันให้กับน้องทั้งสองไม่น้อยทีเดียว แต่ด้วยกำลังใจจากเพื่อน ๆ พี่ ๆ ครูอาจารย์ที่อยู่เบื้องหลังและศิษย์เก่าที่เข้ามาช่วยสอนรวมถึงการสนับสนุนจากผู้บริหารจึงทำให้น้องทั้งสองคนสามารถก้าวผ่านแรงกดดันจนนำไปสู่ความสำเร็จได้ในที่สุด

พยายามสร้างโอกาสให้ตัวเอง

และคว้าโอกาสเอาไว้ให้ได้คือแนวคิดที่สำคัญที่น่าเอาเป็นแบบอย่าง

คนเราไม่ได้มีโอกาสดี ๆ เข้ามาบ่อยครั้ง แม้จะต้องพบเจอความล้มเหลวมากมายหลายครั้งก็อย่าย่อท้อ อย่าหมดหวังแต่ให้มองเป็นแรงผลักดันที่จะใช้สร้างโอกาสให้กับตัวเองให้ได้ และเมื่อใดที่โอกาสนั้นมาถึงแล้วก็จงพยายามทำทุกอย่างให้ดีที่สุด ทำทุกอย่างให้เต็มที่เพื่อที่จะคว้าโอกาสสำคัญนั้นเอาไว้ให้ได้คือแนวคิดที่สำคัญที่ทำให้น้องนักเรียนอาชีวะทั้งสองประสบความสำเร็จ สร้างชื่อเสียงระดับประเทศให้กับตนเอง ให้กับสถานศึกษาและจังหวัดบ้านเกิดและเหมาะสมแล้วที่จะเป็นบุคคลต้นแบบที่น่ายกย่องในครั้งนี้

ชมรายการ Live สด  “ฅนต้นแบบ งานต้นแบบ เมืองนคร” ได้ทุกวันจันทร์ เวลา ๑๙.๓๐-๒๐.๓๐ น. ได้ที่นี่

*****************************************

ร่วมสนับสนุนผลิตสื่อ “สร้างรายได้ชุมชน กระตุ้นการท่องเที่ยว” ติดต่อโฆษณา ประชาสัมพันธ์ธุรกิจ นำสินค้ามาขายร่วมกัน Nakhonsistation 092-6565-298 คุณ เกียรติ

คุณ ศิริกมล แก้วแสงอ่อน ส่งเสริมการท่องเที่ยว อนุรักษ์วัฒนธรรม นำรายได้สู่ชุมชน คนต้นแบบเมืองนคร

นครศรีธรรมราชมีแหล่งท่องเที่ยวที่น่าสนใจมากมาย ที่ดึงดูดให้นักท่องเที่ยวอยากจะมาเยี่ยมเยือนสักครั้งหนึ่ง แต่ในช่วงการแพร่ระบาดของโควิด-19 นี้ส่งผลกระทบต่อภาคธุรกิจการท่องเที่ยวเป็นอย่างมาก สถานการณ์การท่องเที่ยวของนครศรีธรรมราชจะเป็นอย่างไร คนต้นแบบเมืองนครท่านนี้เป็นผู้ที่มีประสบการณ์เกี่ยวกับธุรกิจโรงแรม จะมาบอกเล่าเกี่ยวกับทิศทางการพัฒนาการท่องเที่ยวของนครศรีธรรมราช คุณ ศิริกมล แก้วแสงอ่อน นายกสมาคมธุรกิจการท่องเที่ยวจังหวัดนครศรีธรรมราช กับการส่งเสริมการท่องเที่ยว อนุรักษ์วัฒนธรรม นำรายได้สู่ชุมชน

ความชื่นชอบภาษาอังกฤษ งานบริการ และจุดเริ่มต้นของธุรกิจโรงแรม

คุณศิริกมล เกิดที่จังหวัดนครศรีธรรมราช เนื่องจากคุณพ่อทำงานราชการทำให้ชีวิตวัยเด็กของคุณศิริกมลมีโอกาสได้เดินทางไปหลายจังหวัด ส่วนตัวชื่นชอบภาษาอังกฤษและงานบริการจึงตัดสินใจเรียนระดับปริญญาตรีด้านบริหารธุรกิจ ปริญญาโทด้านการท่องเที่ยวและการโรงแรมที่ประเทศอังกฤษ นอกเหนือจากงานในภาคปฏิบัติแล้ว ยังได้เรียนรู้เกี่ยวกับงานบริหารจัดการสำหรับผู้ประกอบการ การเรียนที่ประเทศอังกฤษทำให้คุณศิริกมลเจอเพื่อนจากหลากหลายประเทศ ได้แลกเปลี่ยนความรู้และประสบการณ์เกี่ยวกับการท่องเที่ยว รวมถึงวัฒนธรรมของแต่ละประเทศ

เริ่มงานแรกในตำแหน่งผู้ช่วยผู้จัดการแผนกขายและการตลาด จากนั้นย้ายไปทำงานที่โรงแรมดุสิตธานีนานถึง 12 ปี แม้จะชื่นชอบงานด้านการโรงแรม แต่เรื่องของระบบศึกษาเป็นอีกสิ่งหนึ่งที่คุณศิริกมลให้ความสำคัญเช่นกัน และมีความใฝ่ฝันว่าอยากจะเปิดโรงเรียนที่มีรูปแบบการศึกษาเน้นให้เด็กเป็นศูนย์กลาง เรียนรู้ผ่านการเล่น สามารถคิดอย่างเป็นระบบ กล้าที่จะแสดงออก เด็กๆ สามารถแสดงความคิดเห็น ซักถาม หรือมีข้อโต้แย้งในชั้นเรียนได้

คุณศิริกมลเล่าว่า การทำงานร่วมกับชาวต่างชาติ เวลาที่มีการประชุมหรือพูดคุยถึงประเด็นอะไรก็ตาม ทุกคนกล้าที่จะแสดงความคิดเห็นหรือข้อเสนอแนะ แม้จะเห็นต่างแต่ในที่สุดก็ได้ข้อสรุปร่วมกัน ช่วยให้การทำงานต่อจากนี้เป็นไปด้วยดี ซึ่งต่างจากรูปแบบการทำงานที่ทีมงานไม่กล้าแสดงความเห็นของตัวเองหรือไม่มีการเคลียร์อย่างชัดเจน

ในช่วงที่คุณพ่อของคุณศิริกมลใกล้เกษียณอายุราชการ ได้มีการพูดคุยกับทางครอบครัวว่าจะทำธุรกิจอะไรดี ธุรกิจโรงแรมกับธุรกิจโรงเรียนอินเตอร์คือสองทางเลือกที่อยู่ในความสนใจ เมื่อทำการสำรวจการตลาด (เมื่อ 14 ปีที่แล้ว) พบว่าธุรกิจโรงแรมขนาดใหญ่ครบวงจรที่มีทั้งห้องพัก ห้องสัมมนา ห้องจัดเลี้ยงมีแค่ไม่กี่แห่ง ยังมีช่องวางทางตลาดค่อนข้างสูง ตอบโจทย์การลงทุนในระยะยาว ซึ่งการบริหารจัดการต้องเป็นไปตามบริบทของพื้นที่นั้น

คุณศิริกมลเล่าว่า หากนำเอาประสบการณ์การบริหารโรงแรมระดับ 5 ดาวมาใช้ทั้งหมดก็คงไม่เหมาะเท่าไหร่ อย่างการเทรนพนักงานก็เป็นเรื่องที่ต้องปรับและใช้เวลากันพอสมควร แม้เป็นโรงแรมเปิดใหม่ก็ใช่ว่าจะหาพนักงานง่าย ต้องทำให้พนักงานมีความรู้สึกภูมิใจที่ได้ทำงานที่นี้

การทำธุรกิจโรงแรมที่นครศรีธรรมราช คุณศิริกมลให้เหตุผลว่า ส่วนหนึ่งก็เพื่อสร้างความเจริญให้กับจังหวัด ชื่อโรงแรมควรเป็นมงคลกับธุรกิจและเมืองที่อาศัย พยายามดึงอัตลักษณ์ของความเป็นนครศรีธรรมราช กลุ่มลูกค้าที่ตอบโจทย์คือ ลูกค้าที่เดินทางมาเข้าพักเพื่อสัมผัสประสบการณ์และกลิ่นอายของเมืองคอน ซึ่งในส่วนของภาคธุรกิจการท่องเที่ยวเมื่อ 14 ปีที่แล้วต่างจากปัจจุบันอย่างสิ้นเชิง การเข้าหาลูกค้าจะต้องเดินทางไปพบด้วยตัวเองเพื่อนำเสนอบริการและโปรโมชั่นจากทางโรงแรม ปัจจุบันลูกค้าสามารถเปรียบเทียบราคาที่พักผ่านทางเว็บไซต์ที่ให้บริการได้ ส่งผลให้การแข่งขันทางการตลาดของธุรกิจโรงแรมสูงขึ้น อย่างการออกบูธตามงานท่องเที่ยวต่างๆ ราคาที่นำเสนอในงานต้องเป็นราคาที่ถูกกว่า Walk in

บทบาทของนายกสมาคมธุรกิจการท่องเที่ยวจังหวัดนครศรีธรรมราช กับการส่งเสริมการท่องเที่ยว อนุรักษ์วัฒนธรรม นำรายได้สู่ชุมชน

ในช่วงที่คุณศิริกมลเป็นเลขาธิการสมาคมธุรกิจการท่องเที่ยวจังหวัดนครศรีธรรมราช ได้มีโอกาสทำงานร่วมกับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ในส่วนของผู้ประกอบการภาคีเครือข่ายท่องเที่ยวมีการช่วยคิดช่วยทำ ร่วมงานกับทางเทศบาล ออกแบบการท่องเที่ยวให้ตอบโจทย์กับนักท่องเที่ยวในกรณีที่มาเยือนนครศรีธรรมราชภาคธุรกิจโรงแรมจะเป็นในส่วนของห้องพักงานและงานจัดเลี้ยง ภาคการท่องเที่ยวชุมชนจะมุ่งไปที่การท่องเที่ยวในท้องถิ่น ไม่มีส่วนกลางเข้ามาช่วยประสานงาน บางครั้งกิจกรรมที่จัดขึ้นนั้นอาจไม่เป็นที่ต้องการสำหรับนักท่องเที่ยวก็ได้ หรือมีรายละเอียดบางอย่างที่อาจลืมนึกถึง เพราะนักท่องเที่ยวแต่ละชาตินั้นมีอุปนิสัยต่างกัน ทางคุณศิริกมลและทีมงานได้เข้าไปช่วยเหลือในส่วนของการท่องเที่ยวชุมชนให้กับชาวบ้าน เช่น การจัดกิจกรรม ออกแบบแพคเกจการท่องเที่ยว และส่งเสริมสินค้าท้องถิ่น สามารถวัดผลได้จากตัวเลขของยอดขายสินค้าที่ระลึก บ่อยครั้งที่ลูกค้าเห็นแค่สินค้าแต่ไม่ซื้อ ควรจะต้องแสดงให้เห็นถึงกระบวนการผลิต บอกเล่าที่มาที่ไปของสินค้าชิ้นนั้น เมื่อลูกค้าเข้าใจในเรื่องราวและเห็นถึงคุณค่า ทำให้ตัดสินใจซื้อง่ายขึ้น

คุณศิริกมลให้ความเห็นว่า กลุ่มนักท่องเที่ยวของนครศรีธรรมราชจากอดีตถึงปัจจุบันเปลี่ยนแปลงไปค่อนข้างมาก ขึ้นอยู่กับว่าในช่วงเวลานั้นอะไรคือสิ่งที่กำลังอยู่ในความสนใจ อย่างช่วงที่กระแสของ “จตุคามรามเทพ” เคยโด่งดัง ส่งผลให้ระยะเวลาในการเข้าพักของนักท่องเที่ยวนานขึ้น แต่พอมาถึงช่วง “ไอ้ไข่ วัดเจดีย์” กลายเป็นว่าคนแวะมาไหว้แล้วเดินทางกลับ ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นนักธุรกิจที่มาบนขอพรไว้ ไม่มีเหตุที่จะต้องพักค้างคืน เมื่อความต้องการของนักท่องเที่ยวเป็นเช่นนี้ จึงไม่สามารถที่จะขายโปรแกรมเพื่อดึงให้นักท่องเที่ยวอยู่นานกว่าเดิมได้ ผู้ประกอบการโรงแรม ร้านอาหาร และบริษัททัวร์ ก็ต้องมาช่วยกันออกแบบว่าจะทำอย่างไรให้นักท่องเที่ยวพักค้างคืนและเที่ยวชมสถานที่อื่นๆ ภายในจังหวัด

จากโครงการงานวิจัยของทางมหาวิทยาลัยที่คุณศิริกมลเข้าไปมีส่วนร่วม ทำให้มีโอกาสเข้าถึงกระบวนการสร้างชิ้นงานต่างๆ ที่เป็นเอกลักษณ์ของนครศรีธรรมราช อย่างเครื่องถมก็ต้องเป็นคนที่ตั้งใจจริงถึงจะเดินทางไปชม เมื่อปรึกษากับทาง DMC (Destination Management Company ) เมืองท่องเที่ยว และเอเจนซี่ก็ได้ให้ไอเดียเกี่ยวกับการทำ Work shop เช่น ภายในเวลา 1 ชม. นักท่องเที่ยวสามารถจะทำอะไรได้บ้าง ขณะเดียวกันเป็นการสร้างรายได้สู่ชุมชน

ความพร้อมของนครศรีธรรมราชกับการเป็น MICE City

MICE City ไมซ์ซิตี้ คือ เมืองแห่งการจัดประชุมและนิทรรศนาการ ไมซ์ (MICE) ย่อมาจากคำว่า Meetings, Incentive Travel, Conventions, Exhibitions (หรือบางครั้ง C หมายถึง Conferencing และ E หมายถึง Events) ซึ่งมีกรอบในการประเมินมาตรฐาน 8 ด้าน คุณศิริกมลให้ความเห็นว่า ในส่วนของผู้ประกอบการโรงแรม การขอเข้าประเมินไม่น่าจะเป็นเรื่องยาก แต่ต้องดูบริบทของภาคีเครือข่ายร่วมด้วย ซึ่งต้องเน้นความปลอดภัยเป็นหลัก เพราะกลุ่มของไมซ์ส่วนใหญ่เป็นระดับผู้บริหาร โปรแกรมการประชุมจะมีการท่องเที่ยวและกิจกรรมแทรกอยู่ด้วย ปัจจุบันบริษัททัวร์หลายที่ให้ความสำคัญกับการท่องเที่ยวชุมชนมากขึ้น แต่เป็นการท่องเที่ยวชุมชนที่อาจไม่ตอบโจทย์กลุ่มตลาดไมซ์ อย่างในนครศรีธรรมราช อำเภอพรหมคีรีมีการทำในส่วนของไมซ์กับโจทย์โครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ ร่วมกับเครือข่ายใกล้เคียง นำสินค้ามาแชร์กัน ด้านการออกแบบการท่องเที่ยวไม่จำเป็นต้องพาลูกค้าไปในทุกที่ แต่ต้องทำให้ลูกค้าอยากที่จะกลับมาเที่ยวอีกครั้ง

แม้ช่วงโควิด-19 จะส่งผลกระทบต่อภาคธุรกิจการโรงแรมและการท่องเที่ยว แต่การร่วมมือกันของทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง สามารถช่วยกันประคับประคองให้ธุรกิจอยู่รอดต่อไปได้  หลังจากนี้ต้องสร้างความมั่นใจให้กับนักท่องเที่ยวที่มาเยือน เชื่อว่าหลังผ่านพ้นวิกฤตครั้งนี้ไป นครศรีธรรมราชจะกลับมาคึกคักอีกครั้งอย่างแน่นอน

ชมรายการ Live สด  “ฅนต้นแบบ งานต้นแบบ เมืองนคร” ได้ทุกวันจันทร์ เวลา ๑๙.๓๐-๒๐.๓๐ น. ได้ที่นี่

*****************************************

ร่วมสนับสนุนผลิตสื่อ “สร้างรายได้ชุมชน กระตุ้นการท่องเที่ยว” ติดต่อโฆษณา ประชาสัมพันธ์ธุรกิจ นำสินค้ามาขายร่วมกัน Nakhonsistation 092-6565-298 คุณ เกียรติ

คุณ เจริญ โต๊ะอิแต ผู้นำชุมชนอนุรักษ์ พิทักษ์สัตว์ทะเล คนต้นแบบเมืองนคร

เมื่อความต้องการบริโภคอาหารทะเลสูงขึ้น ส่งผลให้ทรัพยากรทางทะเลนับวันจะยิ่งลดลงและถูกทำลายไปเรื่อยๆ การฟื้นฟูทรัพยากรทางธรรมชาติที่ต้องอาศัยระยะเวลานาน จึงจำเป็นอย่างมากที่ต้องจัดการให้เร็วที่สุด เช่นเดียวกับที่บุคคลต้นแบบเมืองนครท่านนี้ได้ตระหนักถึงปัญหาเหล่า จากบทบาทการเป็นผู้นำในการขับเคลื่อนการฟื้นฟูชายฝั่ง จนเกิดเป็นศูนย์การเรียนรู้ธนาคารปูม้าและประมงชายฝั่งบ้านในถุ้ง เพื่อให้ลูกหลานได้มีทรัพยากรอันอุดมสมบูรณ์บริโภคกันต่อไป คุณเจริญ โต๊ะอิแต (บังมุ) ผู้นำชุมชนอนุรักษ์ พิทักษ์สัตว์ทะเล

ผู้อนุรักษ์และสืบทอดภูมิปัญญาประมงพื้นบ้าน

ครอบครัวของคุณเจริญอพยพมาจากรัฐตรังกานู หนึ่งในรัฐของประเทศมาเลเซีย ย้ายมาตั้งถิ่นฐานที่จังหวัดนครศรีธรรมราช คุณเจริญเกิดที่อำเภอท่าศาลาเติบโตมากับวิถีชาวประมงพื้นบ้าน เมื่ออายุประมาณ 10-11 ปี มีโอกาสได้ออกทะเล จากนั้นจึงชื่นชอบการออกทะเล อยากรู้ว่าทะเลที่กว้างใหญ่นั้นมีอะไรบ้าง คุณเจริญเล่าว่า การที่จะออกทะเลได้นั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเลย ต้องทำความคุ้นชินกับทะเลก่อน อย่างน้อยก็ต้องไม่เมาคลื่น จากนั้นก็เรียนรู้เรื่องกระแสน้ำ กระแสลม สภาพอากาศ อย่างศาสตร์ในการฟังเสียงปลา ที่เรียกว่า “ดูหลำ” ซึ่งเป็นภูมิปัญญาชาวบ้านที่ใช้ในการตรวจจับหาฝูงปลา ต้องอาศัยความชำนาญและการฝึกฝน อย่างทิศทางลมของนครศรีธรรมราชมี 8 ทิศ ธรรมชาติของลมจะเปลี่ยนทิศทางทุก 3 เดือน

คนสมัยก่อนจะออกเรือโดยไม่ใช้เครื่องยนต์ อาศัยแรงลมในการพาเรือเข้าและออกจากฝั่ง ทรัพยากรสัตว์น้ำมีเยอะมาก สามารถจับปูได้บริเวณหน้าหาด ชาวบ้านส่วนใหญ่ทำประมงเพื่อยังชีพ นำสัตว์น้ำที่จับได้ไปแลกกับข้าวสารหรือสิ่งของอื่นๆ จากประสบการณ์ที่สะสมมาเรื่อยๆ และความชื่นชอบเกี่ยวกับทะเล ทำให้คุณเจริญไม่อยากที่จะไปทำอาชีพอื่น เมื่อการทำประมงเชิงพาณิชย์เพิ่มขึ้น ทำให้ต้องใช้เครื่องมือเพื่อให้จับสัตว์น้ำได้มากขึ้น หากขาดการควบคุมและระบบการจัดการที่ดี จะส่งผลกระทบต่อความหลากหลายทางชีวภาพในท้องทะเลและทรัพยากรสัตว์น้ำที่มีจำนวนลดลงอย่างรวดเร็ว

บทบาทการเป็นผู้นำในการขับเคลื่อนการฟื้นฟูชายฝั่ง และการจัดตั้งศูนย์การเรียนรู้ธนาคารปูม้าและประมงชายฝั่งบ้านในถุ้ง

คุณเจริญเป็นหนึ่งในกลุ่มคนที่ขับเคลื่อนงานการอนุรักษ์ทรัพยากรทางทะเล เพราะเห็นว่ามีการลักลอบทำประมงอย่างผิดกฏหมายในเขตพื้นที่ ต้องการเพียงแค่หอยลาย แต่กลับใช้เครื่องมือที่กอบโกยเอาทรัพยากรอื่นๆ ทางทะเลไปด้วย การใช้ตะแกรงเหล็กกวาดเอาทุกอย่างออกไป ทำให้หน้าโคลนถูกขุดขึ้นมา เกิดแก๊สไข่เน่าบนผิวน้ำ สัตว์น้ำบริเวณนั้นจึงไม่สามารถอาศัยอยู่ได้ ต้องอพยพไปหาแหล่งที่อยู่ใหม่ ชาวบ้านแถวนั้นจึงไม่สามารถทำประมงได้ ต้องใช้เวลาในการฟื้นฟูนานหลายปี จึงอยากให้ชาวบ้านทุกคนตระหนักถึงปัญหาที่กำลังเกิดขึ้นและจะส่งผลอย่างไรในอนาคตหากไม่ร่วมมือกัน น่าเศร้าที่เสียงของชาวบ้านไม่ดังพอที่จะเรียกความสนใจจากหน่วยงานรัฐให้เข้ามาช่วยเหลือ ชาวประมงท้องถิ่นจึงประสบกับปัญหาเรื่อยมา

อุดมการณ์ที่อยากจะปกป้องท้องทะเลของคุณเจริญ จึงทำให้หาวิธีการเพื่อให้สามารถจัดการกับปัญหาเหล่านี้ได้ จนมีองค์กรพัฒนาเอกชนเข้ามาแนะนำว่าให้ไปเรียนรู้งานจากพื้นที่อื่น  คุณเจริญและชาวบ้านคนอื่นๆ ได้เดินทางไปเรียนรู้เกี่ยวกับงานอนุรักษ์ฟื้นฟูที่จังหวัดสตูล ซึ่งได้มีการนำไม้ไผ่ไปปักในทะเล หลังจากนั้นก็จะมีสัตว์น้ำเข้ามาอาศัย ทำให้ชาวบ้านสามารถหากินบริเวณนั้นได้ จึงนำวิธีนี้มาปรับใช้ในพื้นที่ของตัวเอง เป็นกิจกรรมทำบ้านปลาที่ทำในช่วงต้นเดือนมีนาคม เมื่อจำนวนสัตว์น้ำเพิ่มขึ้น ผู้คนที่เคยไปทำงานที่อื่นก็เริ่มทยอยกลับสู่ชุมชน คุณเจริญเล่าว่า เราต้องปกป้องแหล่งอาหารของบ้านเรา ทำแนวเขตอนุรักษ์ เริ่มลงมือทำตั้งแต่ปี 2545 เรื่อยมา ซึ่งชาวบ้านในกลุ่มอนุรักษ์บางคนมีหนี้นอกระบบ จึงเกิดความคิดที่ว่าจะทำอย่างไรให้ปลดภาระหนี้สิน สามารถบริหารจัดการเงินได้ง่ายขึ้น ช่วยเหลือสมาชิกที่ประสบกับปัญหาทางการเงิน ทางกลุ่มจึงจัดตั้งกลุ่มออมทรัพย์ขึ้นมา โดยฝากเงินเดือนละ 50 บาท ปัจจุบันมีจำนวนสมาชิก 200 คน มีเงินหมุนเวียนล้านกว่าบาท

คุณเจริญเล่าว่า ในช่วงปี 2535 – 2540  จำนวนปูม้าเยอะมาก สามารถจับได้ถึง 100 กิโลกรัมต่อวัน ราคาสูงสุดในตอนนั้นอยู่ที่กิโลกรัมละ 16 บาท จนมาถึงปี 2548 จำนวนปูม้าลดลงอย่างเห็นได้ชัด ถ้าปล่อยให้เป็นอย่างนี้ต่อไปในอนาคตอาจไม่มีปูม้าให้กิน คุณเจริญจึงตัดสินใจหาข้อมูลและไปดูงานที่จังหวัดสุราษฎร์ธานี ในช่วง 2-3 ปีแรกที่ทำกระชังปูลอยน้ำ แม้ไม่ประสบผลสำเร็จตามที่คาดไว้แต่คุณเจริญก็ไม่ย่อท้อ จากนั้นมีอาจารย์จากมหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์และหน่วยงานรัฐเข้ามาให้การช่วยเหลือในการทำธนาคารเลี้ยงปูมา ช่วงแรกค่อนข้างยุ่งยากพอสมควร ต้องใช้อุปกรณ์ค่อนข้างเยอะ ต้องใช้เวลากว่าที่ชาวบ้านจะเข้าใจแนวคิดนี้ เมื่อธนาคารปูม้าเริ่มไปได้ดี ทำให้คุณเจริญมีกำลังใจในการที่จะขับเคลื่อนงานมากขึ้น ปัจจุบันมีเครือข่ายธนาคารปูม้า 22 จังหวัด การทำธนาคารปูม้า ทำให้มีจำนวนปูม้าเพิ่มขึ้น เมื่อชาวประมงจับปูได้ก็สร้างรายได้ให้กับครอบครัว

ศูนย์การเรียนรู้ธนาคารปูม้าและประมงชายฝั่งบ้านในถุ้ง เป็นการทำงานร่วมกันระหว่างมหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ในการให้ความรู้เชิงวิชาการ และประสบการณ์ของชาวบ้านที่ให้ความรู้เกี่ยวกับการทำประมง อย่างโรงเรียนชาวประมงในหมู่บ้าน เกิดจากแนวคิดที่อยากให้เด็กๆ รู้จักสัตว์น้ำ เรียนรู้เรื่องลม การใช้เครื่องมือต่างๆซึ่งข้อมูลเหล่านี้ไม่มีสอนในห้องเรียน ส่วนบุคคลทั่วไปสามารถเข้าไปเรียนรู้วิถีชาวประมง ท่องเที่ยวเที่ยวเชิงนิเวศน์ได้เช่นกัน โดยที่ทางศูนย์การเรียนรู้ให้ความสำคัญกับการอนุรักษ์แหล่งอาหารมาเป็นอันดับแรก ในอนาคตมีโครงการเปิดร้านอาหารลุยเล เพื่อให้คนที่อาศัยอยู่ในเมืองรู้จักตัวตนของชุมชนมากขึ้น อยากให้ผู้บริโภคทานอาหารทะเลอย่างปลอดภัยและมีความสุข

ชาวประมงพื้นบ้านเป็นส่วนหนึ่งของการขับเคลื่อนงานอนุรักษ์ทะเล แต่ทรัพยากรทางทะเลเป็นของเราทุกคน ดังนั้นทุกคนควรมีส่วนร่วมในการอนุรักษ์ทรัพยากรทางทะเล ในฐานะผู้บริโภคสามารถมีส่วนช่วยในการปกป้องทะเลด้วยการไม่สนับสนุนสัตว์น้ำวัยอ่อน งดการกินปูไข่นอกกระดอง เป็นการส่งสารจากคนกินถึงผู้ขายกลับไปสู่ชาวประมง และที่สำคัญควรบริโภคแต่พอดี เพื่อรักษาสมดุลในระบบนิเวศ และส่งต่อทรัพยากรทางทะเลไปสู่คนรุ่นหลังอย่างยั่งยืน

ชมรายการ Live สด  “ฅนต้นแบบ งานต้นแบบ เมืองนคร” ได้ทุกวันจันทร์ เวลา ๑๙.๓๐-๒๐.๓๐ น. ได้ที่นี่

*****************************************

ร่วมสนับสนุนผลิตสื่อ “สร้างรายได้ชุมชน กระตุ้นการท่องเที่ยว” ติดต่อโฆษณา ประชาสัมพันธ์ธุรกิจ นำสินค้ามาขายร่วมกัน Nakhonsistation 092-6565-298 คุณ เกียรติ

คุณ จิรเดช เพ็งรัตน์ สืบสานมโนราห์ ดำรงคุณค่าศิลปเมืองนคร  คนต้นแบบเมืองนคร

โนรา หรือมโนราห์ มรดกทางวัฒนธรรมอันทรงคุณค่า ศิลปะการแสดงที่มีมานานกว่าร้อยปี โดดเด่นด้วยท่วงท่าที่อ่อนช้อยแต่แฝงไปด้วยความแข็งแกร่ง กว่าที่จะเป็นโนราได้นั้นต้องผ่านการฝึกฝนอย่างหนัก เพื่อให้การแสดงออกมาสมบูรณ์แบบที่สุด คนต้นแบบเมืองนครที่ทางนครศรีสเตชั่นอยากแนะนำให้ทุกท่านรู้จัก เป็นผู้ก่อตั้งคณะโนราเยาวชนในนครศรีธรรมราช คนรุ่นใหม่ซึ่งเป็นบุคคลที่ได้รับรางวัลการันตีความสามารถ มากมาย ศิลปินรางวัลพระราชทาน “เยาวชนแห่งชาติ” ประจำปี 2562 คุณ จิรเดช เพ็งรัตน์ กับบทบาทในการสืบสานมโนราห์ ดำรงคุณค่าศิลปเมืองนคร

พรสวรรค์ด้านการขับร้อง และความชื่นชอบที่มีต่อศิลปะการแสดงพื้นบ้านของภาคใต้

ช่วงเวลาในวัยเด็ก บ่อยครั้งที่คุณแม่มักจะร้องเพลงลูกทุ่งให้ฟัง ทำให้คุณจิรเดชค่อยๆ ซึมซับและชื่นชอบในการร้องเพลง เมื่อแถวบ้านมีการจัดงานรื่นเริงต่างๆ มักจะได้รับโอกาสให้ร้องเพลงเป็นประจำ จนทำให้กลายเป็นคนที่กล้าแสดงออกตั้งแต่เด็ก เมื่อคุณตาเห็นพรสวรรค์ทางด้านนี้ก็อยากที่จะพาคุณจิรเดชไปฝากตัวกับคณะมโนราห์ที่รู้จักกัน ทั้งที่ในตอนนั้นคุณจิรเดชก็ไม่รู้ว่ามโนราห์คืออะไร

จนวันหนึ่งมีโอกาสได้ดูเทปการแสดงของคณะมโนราห์เพ็ญศรี ยอดระบำ ก็รู้สึกชื่นชอบการแสดงนั้นทันที จนต้องขอยืมเทปกลับมาดูที่บ้านซ้ำๆ หลายรอบ สามารถจดจำเนื้อร้องได้ขึ้นใจทั้งๆ ที่ตัวเองก็พูดภาษาใต้ไม่ได้ ช่วงที่เรียนอยู่ชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 ขณะที่คุณจิรเดชกำลังร้องเพลงโนราห์ในคาบพักกลางวันของโรงเรียนอยู่นั้น

คุณครูที่ได้ยินจึงเดินตามหาเจ้าของเสียง และชักชวนให้คุณจิรเดชเข้าชมรมนาฏศิลป์ เมื่อทางโรงเรียนได้รับเชิญให้ไปร่วมงานที่จังหวัดกาญจนบุรี ชมรมนาฏศิลป์จึงทำการคัดตัวนักเรียนเพื่อเข้าร่วมการแสดง ในครั้งนั้นคุณจิรเดชไม่ได้รับการคัดเลือกเนื่องจากยังรำมโนราห์ไม่เป็น จึงได้เริ่มแกะท่ารำมโนราห์จากเทปการแสดงแล้วฝึกฝนด้วยตนเอง พร้อมทั้งฝึกรำกับทางชมรมนาฏศิลป์ที่ได้เชิญวิทยากรมาเป็นผู้ฝึกสอน และมีโอกาสได้ขึ้นเวทีร่วมกับเพื่อนๆ ในชมรม

ทักษะการร้องอันเป็นพรสวรรค์ของคุณจิรเดช จึงได้รับการชักชวนจากคณะมโนราห์ให้ไปทำการแสดงตามงานต่างๆ นอกเหนือจากการแสดงของทางโรงเรียน ครั้งหนึ่งได้มีโอกาสพูดคุยทักทายกับโนราห์แม่เพ็ญศรี ศิลปินที่คุณจิรเดชชื่นชอบเป็นการส่วนตัวและยังเป็นญาติของตัวเองอีกด้วย

จนมาถึงโอกาสครั้งสำคัญที่สร้างความตื่นเต้นให้คุณจิรเดชอย่างมาก เมื่อรู้ว่ากำลังจะได้ทำการแสดงบนเวลาเดียวกันกับโนราห์แม่เพ็ญศรี บทกลอนที่ใช้ขับร้องในวันนั้นแน่นอนว่าเป็นของศิลปินที่ตัวเองชื่นชอบ

หลังจากนั้นไม่นานคุณจิรเดชก็ได้รับการทาบทามให้เข้าร่วมกับทางคณะมโนราห์เพ็ญศรี ซึ่งงานแรกที่ได้ร่วมแสดงจัดขึ้นที่จังหวัดสงขลา การที่ได้ดูการแสดงของแต่ละคณะบนเวทีทำให้คุณจิรเดชค่อยๆ ซึมซับบทกลอนทีละน้อย ความพิเศษของบทกลอนมโนราห์อยู่ตรงที่ภาษาถิ่นที่ใช้จะแตกต่างกันในแต่ละพื้นที่

คุณจิรเดชเล่าว่า ช่วงแรกที่เข้าสู่วงการมโนราห์ ตนเองไม่ได้รับการยอมรำในเรื่องของการร่ายรำสักเท่าไหร่ คนส่วนใหญ่มักจะโฟกัสไปที่เสียงร้องมากกว่า เรียกได้ว่าในตอนนั้นยังไม่มีต้นแบบในการรำ จนเข้าสู่ช่วงวัยรุ่นตอนต้น มีโอกาสได้เข้าฝากตัวเป็นศิษย์กับ “แม่สำเนา” ครูคนแรกที่ฝึกสอนการร่ายรำให้กับคุณจิรเดช ซึ่งการร่ายรำมโนราห์ไม่ใช่แค่ท่วงท่าที่ต้องตรงตามจังหวะเท่านั้น

แต่ต้องรำแบบมีจริตจะก้าน เพื่อให้แสดงออกมาได้อย่างสวยงาม จากนั้นได้แสดงคู่กับแม่สำเนาตามงานต่างๆ คุณจิรเดชให้ความเห็นว่าโนราห์พัทลุงและสงขลามีท่ารำที่งดงามอ่อนช้อย ส่วนโนราห์นครศรีธรรมราชจะเด่นทางด้านบทกลอน จากนั้นจึงเริ่มฝึกฝนการร่ายรำอย่างจริงจัง

สืบสานมโนราห์ ดำรงคุณค่าศิลปเมืองนคร

เมื่อเก็บเกี่ยวประสบการณ์มาสักระยะ คุณจิรเดชตัดสินใจตั้งคณะโนราเยาวชนในนครศรีธรรมราช (คณะโนรามอส ยอดระบำ) ซึ่งนักแสดง นักดนตรี เป็นเยาวชนทั้งหมด นอกจากการแสดงตามงานต่างๆ ที่ได้รับเชิญแล้ว คุณจิรเดชได้ใช้แพลตฟอร์มออนไลน์ที่สามารถเข้าถึงคนจำนวนมากในการเผยแพร่วัฒนธรรมการแสดงมโนราห์ อย่างการลงคลิปใน TiKTok และ Facebook  มีคนเข้ามาชมและคอมเม้นต์กันไม่น้อย

การชมมโนราห์ให้สนุกนั้น คุณจิรเดชแนะนำว่า ต้องทำความเข้าใจก่อนว่าการรำมโนราห์ ท่วงท่าการร่ายรำจะผสมผสานระหว่างความอ่อนช้อยและความแข็งแรงทะมัดทะแมง ถือเป็นเอกลักษณ์ของศิลปะการแสดงชนิดนี้ เครื่องดนตรีโนราห์ที่ให้จังหวะหนักแน่น โดยเฉพาะเสียงปี่ที่สามารถสะกดผู้ฟังได้อยู่หมัด ใช่ว่าคนใต้ทุกคนจะฟังมโนราห์กันรู้เรื่อง แต่อยากให้เปิดใจรับชมด้วยความเพลิดเพลิน ไม่ต่างกับการฟังเพลงของศิลปินต่างประเทศทั้งที่บางทีเราเองก็ไม่เข้าใจความหมายของเนื้อร้องด้วยซ้ำ แต่กลับชื่นชอบในท่วงทำนองและการแสดงได้แม้รับชมแค่ครั้งแรกเท่านั้น

คุณจิรเดชให้ความเห็นว่า ทุกวันนี้คนดูมโนราห์กันน้อยลง จำนวนนักแสดงมีสัดส่วนมากกว่าผู้ชมเสียอีก จึงอยากให้ศิลปะการแสดงของภาคใต้อย่างมโนราห์เป็นที่รู้จักในภาคอื่นๆ เช่นกัน ปัจจุบันการแสดงมโนราห์มีการปรับเปลี่ยนไปตามยุคสมัย มีการสอดแทรกมุกตลกผ่านทางบทกลอน เพื่อเพิ่มความสนุกสนานให้แก่ผู้ชม ในแง่ของการแสดงโนราห์ในยุคนี้ผู้ชมสามารถเข้าใจได้ง่ายกว่าในอดีต ในส่วนของพิธีกรรมยังคงแบบฉบับดั้งเดิมไว้อยู่

ไม่ใช่เรื่องใหม่อะไรที่สังคมมีการรับวัฒนธรรมต่างชาติ ในขณะที่การแสดงพื้นบ้านบางอย่างได้รับความนิยมน้อยลงเรื่อยๆ จำนวนผู้สืบทอดก็ลดลงเช่นกัน คงเป็นเรื่องที่น่าเสียใจและน่าเสียดายอย่างมาก หากปล่อยให้ศิลปะการแสดงพื้นบ้านอย่างมโนราห์สูญหายไปจากวัฒนธรรมไทย เราทุกคนควรช่วยกันส่งเสริมและอนุรักษ์ภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมนี้ไว้ให้คงอยู่สืบทอดต่อไป

ชมรายการ Live สด  “ฅนต้นแบบ งานต้นแบบ เมืองนคร” ได้ทุกวันจันทร์ เวลา ๑๙.๓๐-๒๐.๓๐ น. ได้ที่นี่

*****************************************

ร่วมสนับสนุนผลิตสื่อ “สร้างรายได้ชุมชน กระตุ้นการท่องเที่ยว” ติดต่อโฆษณา ประชาสัมพันธ์ธุรกิจ นำสินค้ามาขายร่วมกัน Nakhonsistation 092-6565-298 คุณ เกียรติ

คุณ นรานันทน์ จันทร์แก้ว  ฅนต้นแบบเมืองนคร สร้างเรื่องราว บอกเรื่องเล่าตำนานผ่านเนื้อเพลง

การร้องเพลงเป็นศิลปะแขนงหนึ่งที่สื่อสารผ่านน้ำเสียง ถ่ายทอดเนื้อร้องควบคู่กับท่วงทำนอง ทำให้เกิดความเพลิดเพลินแก่ผู้ฟัง เนื้อร้องมักถูกกลั่นกรองมาจากประสบการณ์และความรู้สึกของผู้แต่ง แต่ละบทเพลงมีความหมายที่ต่างกันออกไป เช่นเดียวกับฅนต้นแบบเมืองนครท่านนี้ที่สร้างสรรค์บทเพลงอันไพเราะ จนได้รับความนิยมและมีชื่อเสียงในวงการเพลงไทย นักประพันธ์เพลงที่สามารถสร้างเรื่องราว บอกเล่าตำนานท้องถิ่น ผ่านเนื้อเพลงที่สื่อถึงนครศรีธรรมราช คุณ นรานันทน์ จันทร์แก้ว

พรสวรรค์และความชื่นชอบในวัยเด็ก สู่จุดเริ่มต้นของนักประพันธ์เพลง

คุณนรานันทน์ หรือครูบอย มีความชื่นชอบและรักในเสียงเพลงตั้งแต่วัยเด็ก โดยเฉพาะเพลงลูกทุ่ง ครั้งแรกที่ได้ฟังเพลง “นัดพบหน้าอำเภอ” ที่ขับร้องโดยอดีตราชินีเพลงลูกทุ่ง คุณพุ่มพวง ดวงจันทร์ สร้างความประทับใจให้คุณนรานันทน์เป็นอย่างมาก และเป็นเพลงเดียวที่คุณนรานันทน์ร้องได้ในตอนนั้น เมื่อโอกาสในการแสดงความสามารถได้มาถึง ขณะที่กำลังศึกษาอยู่ชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ทางโรงเรียนได้จัดการประกวดร้องเพลงลูกทุ่ง แม้ไม่ได้รับรางวัล แต่เป็นการตอกย้ำความชื่นชอบในเสียงเพลง จนไปเจอกับเทปเทปคาสเซ็ทที่อยู่ในบ้าน เมื่อได้ลองเปิดฟังก็ชอบในเสียงร้องของศิลปินผู้นั้น โดยที่ตอนนั้นคุณนรานันทน์ไม่ทราบว่าคือ คุณเอกชัย ศรีวิชัย (นักร้องลูกทุ่งชาวใต้ชื่อดัง) จากนั้นได้ติดตามผลงานเรื่อยมา จนกลายมาเป็นศิลปินในดวงใจ

เนื้อเพลงแรกที่เขียนเริ่มต้นจากได้รับโจทย์จากอาจารย์ในวิชาดนตรี ในขณะที่เรียนอยู่ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โดยใช้ทำนองจากเพลง “รักเก่าที่บ้านเกิด” มาใส่เนื้อร้องที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับสภาพสังคมในยุคสมัยนั้น (ตรงกับช่วงวิกฤตเศรษฐกิจปีพ.ศ. 2540)

จากจุดเริ่มต้นในครั้งนั้นคุณนรานันทน์ได้เขียนเพลงสะสมมาเรื่อยๆ บ่อยครั้งที่ได้รับมอบหมายจากอาจารย์ให้แต่งเพลงในกิจกรรมต่างๆ ที่ทางโรงเรียนจัดขึ้น เมื่อจบการศึกษาระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย

คุณนรานันทน์ได้เข้าศึกษาต่อที่มหาวิทยาลัยราชภัฎสวนดุสิต ไม่ว่าจะเดินทางไปไหนมักจะพกสมุดเขียนเพลงติดตัวอยู่เสมอ ขณะที่ศึกษาอยู่ชั้นปีที่ 1 ทางมหาวิทยาลัยได้เชิญอาจารย์สลา คุณวุฒิ (ศิลปินและนักประพันธ์เพลงแนวลูกทุ่งอีสาน) มาเป็นวิทยากร เมื่อคุณนรานันทน์มีโอกาสนำเสนอบทเพลงที่เขียนให้อาจารย์สลาได้ฟัง จึงเกิดแรงบันดาลใจในการเขียนเพลงมากขึ้น จากการเก็บเกี่ยวความรู้จากการอ่านหนังสือ พร้อมกับฝึกเขียนเพลงมาเรื่อยๆ

จนวันหนึ่งคุณนรานันทน์ได้รับการติดต่อจากค่ายเพลงชื่อดัง (จากการแนะนำของอาจารย์สลา) แม้ว่าบทเพลงที่เขียนยังไม่ได้นำเสนอสู่สาธารณชน แต่ก็ไม่ทำให้คุณนรานันทน์รู้สึกท้อ แม้จะเป็นเพียงนักแต่งเพลงมือสมัครเล่น แต่ก็หวังว่าสักวันจะมีโอกาสแต่งเพลงให้กับศิลปินชื่อดัง

สร้างเรื่องราว บอกเรื่องเล่าตำนานผ่านเนื้อเพลง และโอกาสที่ได้แต่งเพลงให้ศิลปินในดวงใจ

คุณนรานันทน์ มีแนวคิดว่า หากนำเรื่องราวต่างๆ ในนครศรีธรรมราชมาบอกเล่าผ่านบทเพลง ผู้ฟังน่าจะเข้าใจเรื่องราวต่างๆ เช่น ประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม วิถีชีวิต ได้ง่ายขึ้น บทเพลงก็เหมือนกับการเขียนเรื่องสั้นที่สรุปสาระสำคัญให้สามารถเข้าใจได้ง่าย มีหลายบทเพลงที่คุณนรานันทน์แต่งเกี่ยวกับนครศรีธรรมราช หยิบเรื่องราวที่น่าสนใจของนครศรีธรรมราชมาใช้เป็นวัตถุดิบในการแต่งเพลง อย่าง “เพลงเทพบุตรพญานคร”ที่แต่งขึ้นเพื่อใช้ในเวทีการประกวดเทพบุตรพญานคร ช่วงงานประเพณีสารทเดือนสิบ ต้องนำเสนอเรื่องราวของนครศรีธรรมราชให้เหมาะสมกับงานโชว์ และที่สำคัญคือ ต้องเป็นแนวเพลงที่เข้ากับคุณเอกชัย ศรีวิชัย ซึ่งเป็นศิลปินผู้ขับร้องเพลงนี้ ถือเป็นโจทย์ที่ค่อนข้างยากสำหรับคุณนรานันทน์

“เพลงนุ้ยเคยไลน์” บทเพลงที่หยิบเอาความแตกต่างทางภาษามาขยายความ เป็นเพลงที่โด่งดังมากในภาคใต้ เปิดกันแทบทุกงานประเพณีของทางใต้ จุดเริ่มต้นจากการที่คุณนรานันทน์ได้ยินบทสนทนาทางโทรศัพท์ของบุคคลที่นั่งอยู่ข้างๆ กับคำถามจากปลายสายว่า “เคยไลน์หม้าย?” กลายเป็นไอเดียที่คุณนรานันทน์อยากนำมาเขียนเพลง โดยนำเอาทำนองเพลงมอญท่าอิฐมาเป็นท่อนสร้อย (ท่อนที่จะร้องซ้ำ) บวกกับแรงบันดาลใจจากเนื้อเพลงบางส่วนของ “เพลงฉันทนาที่รัก” จนได้เพลงนุ้ยเคยไลน์ที่มีท่วงทำนองสนุกสนาน คนใต้ฟังแล้วจะหรอย ขับร้องโดยศิลปิน นุ้ย สุวีณา อาร์สยาม ซึ่งเพลงนี้มียอดวิวใน Youtube แตะหลักล้าน ตอกย้ำความนิยมในตัวศิลปิน และเป็นอีกผลงานที่สร้างชื่อให้คุณนรานันทน์

อยากเป็นนักแต่งเพลง เริ่มต้นอย่างไร

อยากเป็นนักแต่งเพลง ไม่ใช่แค่ชอบเขียนเรื่องราวต่างๆ และรักในเสียงเพลงเท่านั้น ต้องฟังเพลงให้เยอะ ฝึกเขียนบ่อยๆ นำทั้งสองอย่างมาเชื่อมโยงกัน และศึกษาหาความรู้เกี่ยวกับการแต่งเพลงเพิ่มเติม คุณนรานันทน์ ให้ความเห็นว่า ศิลปะไม่มีผิดหรือถูก ไม่มีขอบเขต เป็นเรื่องของรสนิยมส่วนบุคคล การเขียนเพลงต้องรู้ว่า เขียนให้ใคร เขียนเพื่ออะไร เขียนเพลงแนวไหน เช่น เขียนเพลงให้นักร้องคนหนึ่ง ต้องรู้ว่านักร้องคนนั้นมีแนวเสียงเป็นอย่างไร ควรใช้คำหรือเล่าเรื่องอะไรให้ตรงกับคาแร็กเตอร์  แต่ละแนวเพลงไม่มีรูปแบบตายตัว สามารถนำมาดัดแปลงผสมผสานกันได้ ทุกครั้งที่จรดปากกาเขียนเพลง คุณนรานันทน์จะบันทึกช่วงเวลาไว้ทั้งหมด สำหรับบทเพลงลูกทุ่ง ฉันทลักษณ์คือสิ่งสำคัญมาก รูปแบบในการแต่งเพลง สามารถแบ่งได้ 3 แบบ คือ เริ่มจากการเขียนกลอนแปด ค่อยใส่ทำนองทีหลัง สร้างทำนองขึ้นมาก่อน แล้วใส่เนื้อร้องทีหลัง แต่งเนื้อร้องและทำนองไปพร้อมกัน เป็นวิธีที่นิยมกันมากที่สุด

ดนตรีเป็นสิ่งที่เชื่อมโยงผู้คนเข้าด้วยกัน แม้ผู้ฟังสื่อสารด้วยภาษาที่ต่างกัน แต่ก็ไม่ใช่อุปสรรคในการเข้าถึงบทเพลงนั้น การสร้างสรรค์งานดนตรีจึงไม่เคยหยุดนิ่ง ทำนองอันไพเราะไม่เพียงแต่สร้างความผ่อนคลาย ความสนุกสนาน หรือก่อให้เกิดความสุขเท่านั้น แม้แต่ท่วงทำนองแห่งความเงียบ ก็มีบางอย่างที่ถูกถ่ายทอดออกมา ขึ้นอยู่กับผู้ฟังว่าสามารถเข้าใจและเข้าถึงได้หรือไม่…นั่นเอง

ดูคลิปสัมภาษณ์

ชมรายการ Live สด  “ฅนต้นแบบ งานต้นแบบ เมืองนคร” ได้ทุกวันจันทร์ เวลา ๑๙.๓๐-๒๐.๓๐ น. ได้ที่นี่

*****************************************

ร่วมสนับสนุนผลิตสื่อ “สร้างรายได้ชุมชน กระตุ้นการท่องเที่ยว” ติดต่อโฆษณา ประชาสัมพันธ์ธุรกิจ นำสินค้ามาขายร่วมกัน Nakhonsistation 092-6565-298 คุณ เกียรติ

พระอนุรักษ์ รัฐธรรม  สอนคน ชี้ธรรม นำปัญญา ตามคำสอนพระศาสดา คนต้นแบบเมืองนคร

ผู้ที่มีจิตสำนึกที่ดี ดำเนินชีวิตที่ดีงาม ย่อมได้รับการกล่อมเกลาจิตใจ ถูกปลูกฝังคุณธรรมตั้งแต่วัยเด็ก โดยยึดหลักคำสอนทางศาสนาเป็นแนวทางในการใช้ชีวิต เป็นหนทางในการค้นพบความสุข ทางนครศรีสเตชั่นได้รับเกียรติจากพระอาจารย์อนุรักษ์ รัฐธรรม มาบอกเล่าเกี่ยวกับโครงการค่ายเรียนรู้คุณธรรมจริยธรรมสำหรับเด็กและเยาวชน โดยใช้ต้นทุนที่มีอยู่คือ วัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร มาเป็นรากฐานในการสอนธรรมะ สอนคน ชี้ธรรม นำปัญญา ตามคำสอนพระศาสดา

สนใจศึกษาหลักธรรมทางพระพุทธศาสนาตั้งแต่วัยเด็ก

            พระอาจารย์อนุรักษ์ เล่าให้ฟังว่า ได้รับการปลูกฝังเกี่ยวกับพระพุทธศาสนามาตั้งแต่วัยเด็ก ทางบ้านพาไปวัดเป็นประจำ การที่มีโอกาสได้ไปวัดพระมหาธาตุวรมหาวิหารครั้งแรกเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของชีวิต ซึ่งในตอนที่ท่านไปนั้นตรงกับช่วงที่ทางวัดจัดงานใหญ่พอดี ขากลับได้รับหนังสือที่ทางวัดแจกให้เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับพุทธประวัติ เนื้อหาอ่านเข้าใจง่าย มีรูปภาพประกอบเหมาะสำหรับเด็ก

การไปวัดในครั้งนั้นทำให้พระอาจารย์รู้สึกประทับใจมาก ตั้งแต่นั้นมาจึงเริ่มศึกษาประวัติพระพุทธเจ้า ตั้งปณิธานว่าสักวันหนึ่งจะต้องบวชให้ได้ หลังจากเรียนจบระดับชั้นประถมศึกษา พระอาจารย์มีโอกาสได้บวรเป็นสามเณรเกือบ 4 ปี จนได้นักธรรมชั้นเอก

หลังจากสึกออกมาได้ศึกษาต่อจนจบระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย จากนั้นทำงานค้าขายเปิดร้านขายของชำอยู่ที่กรุงเทพมหานคร จนถึงเวลาที่พระอาจารย์เห็นสมควรแล้วว่าต้องตอบแทนพระคุณพ่อแม่ เดิมทีคุณพ่อของพระอาจารย์อนุรักษ์บวชเป็นพระภิกษุ ซึ่งท่านมรณภาพไปแล้ว ด้วยเหตุนี้พระอาจารย์จึงตัดสินใจเดินทางกลับมาบวชที่วัดมะม่วงปลายแขน จ. นครศรีธรรมราช

เมื่อบวชเป็นพระภิกษุได้หนึ่งพรรษา พระอาจารย์ค้นพบว่าการสวดมนต์และการปฏิบัติธรรม ทำให้จิตใจสงบ ไม่สับสนวุ่นวาย หลังจากนั้นเป็นต้นมาได้บวชมาเรื่อยๆ จนกระทั่งได้มาจำพรรษาที่วัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร มีโอกาสได้ศึกษาต่อระดับปริญญาตรีที่มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย (สถาบันการศึกษาของสงฆ์) ปัจจุบันพระอาจารย์บวชมานานกว่า 10 พรรษา

คติการใช้ชีวิตของท่าน คือ ไม่ว่าจะทำอะไรก็ตาม ต้องทำให้ดีที่สุด ให้เกิดประโยชน์สูงสุด จึงเกิดคำถามขึ้นว่า จะทำอย่างไรได้บ้างเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดจากสิ่งที่ได้เรียนรู้และศึกษามา

โครงการค่ายคุณธรรมจริยธรรม โดยใช้ต้นทุนที่มีของวัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร

พระอาจารย์เริ่มทำโครงการให้ความรู้ทางพระพุทธศาสนาตั้งแต่สมัยเรียนปริญญาตรีชั้นปีที่ 1 ด้วยความที่พระอาจารย์มีโอกาสได้เป็นวิทยากรอบรมให้แก่นักเรียนและเยาวชน จึงเห็นว่าการนำธรรมะไปเผยแผ่กับเยาวชน ซึ่งเป็นอนาคตของชาติเป็นเรื่องที่ดีและมีประโยชน์ เพราะเยาวชนที่เติบโตโดยมีคุณธรรมจะช่วยให้สังคมเจริญไปในทิศทางที่ดีงาม

พระอาจารย์อนุรักษ์จึงได้เชิญชวนพระภิกษุรูปอื่นให้มาร่วมเป็นวิทยากร ก่อตั้งเป็นค่ายคุณธรรมจริยธรรมที่วัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร สถานที่แห่งนี้ไม่เพียงแต่เป็นโบราณสถานที่มีความสำคัญทางศาสนาพุทธ และเป็นศูนย์รวมจิตใจของพุทธศาสนิกชนเท่านั้น แต่ยังเป็นสถานที่ที่เหมาะสมสำหรับการจัดอบรมค่ายคุณธรรมอีกด้วย สามารถเรียนรู้หลักธรรมผ่านทุกสิ่งทุกเรื่องราวที่อยู่ในวัด มีความพร้อมทั้งในเรื่องสถานที่ อาหาร และสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ

เมื่อพูดถึงค่ายคุณธรรม จริยธรรม ส่วนใหญ่มักจะไม่ค่อยมีใครสมัครใจเข้าร่วม คิดว่าเป็นเรื่องที่น่าเบื่อ พระอาจารย์ให้ความเห็นว่า การจัดกิจกรรมนั้นต้องมีความน่าสนใจ ไม่ทำให้เด็กรู้สึกเบื่อหน่าย กิจกรรมทั้งหมดของค่ายถูกคิดค้นโดยพระอาจารย์อนุรักษ์ ซึ่งท่านให้ความเห็นว่า ก่อนอื่นต้องเข้าใจธรรมชาติของเด็ก ต้องรู้ว่าเด็กมีความต้องการอะไร สนใจเรื่องอะไร

ทุกกิจกรรมต้องให้เด็กและเยาวชนได้มีส่วนร่วม แน่นอนว่าโครงการค่ายคุณธรรม จริยธรรมมีหลักสูตรการจัดฝึกอบรมและรูปแบบกิจกรรมไว้อยู่แล้ว บางครั้งพระอาจารย์ใช้วิธีให้เยาวชนเสนอความคิดเพื่อออกแบบกิจกรรมที่ต้องการจะทำ เพื่อเพิ่มความสนุกสนาน และมีช่วงเวลาให้เด็กๆ ได้ผ่อนคลาย

นอกจากการฝึกปฏิบัติธรรมแล้ว กิจกรรมถามตอบและการเล่าเรื่องเป็นวิธีที่ช่วยกระตุ้นให้เด็กได้คิดวิเคราะห์และคิดตาม เพื่อให้ตระหนักถึงการทำความดีละเว้นความชั่ว ดำรงชีวิตอย่างมีศีลธรรม ไม่ได้มีเฉพาะเด็กและเยาวชนเท่านั้นที่สามารถเข้าร่วมโครงการค่ายคุณธรรมนี้ได้ ไม่ว่าวัยใดก็สามารถเข้าร่วมได้ เพราะผู้ใหญ่เองก็ต้องหาที่พึ่งพิงทางใจเช่นกัน

เรียนรู้หลักธรรมผ่านพระบรมธาตุเจดีย์ จุดศูนย์กลางที่เชื่อมโยงจิตใจเด็กและเยาวชนให้เข้าถึงธรรมะมากขึ้น

การปลูกฝังคุณธรรมต้องเริ่มต้นกันตั้งแต่วัยเด็กเพื่อให้เด็กเติบโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่ที่มีคุณภาพและคุณธรรม พระอาจารย์เน้นสอนให้เด็กๆ เห็นธรรมะที่แท้จริงผ่านธรรมชาติ เห็นความสำคัญของทุกสิ่งรอบตัว เห็นคุณค่าของชีวิต เมื่อเด็กเกิดความเข้าใจก็จะเคารพในตัวเองและผู้อื่น รู้ว่าชีวิตนี้เมื่อเกิดมาแล้วต้องทำความดี สร้างประโยชน์ให้แก่ตัวเองและผู้อื่น อย่างประเพณีแห่ผ้าขึ้นธาตุ นอกจากความเชื่อและความศรัทธาแล้ว อีกนัยหนึ่งแสดงให้เห็นถึงความสามัคคีปรองดองกัน แต่ละคนมีบทบาทหรือความสัมพันธ์ที่เชื่อมโยงกันด้วยประเพณี มีความมุ่งมั่นแน่วแน่ในการน้อมถวายผ้าแก่พระบรมธาตุเจดีย์ ซึ่งผ้าที่ห่มองค์พระบรมธาตุเจดีย์เปรียบเสมือนการปกป้องดูแลพระรัตนตรัย

คนเราจะเกิดปัญญาได้นั้น ต้องเจอกับปัญหาก่อน อุปสรรคต่างๆ ที่เข้ามาในชีวิตเป็นเรื่องธรรมดาที่ทุกคนล้วนเผชิญ เริ่มจากการยอมรับให้ได้และทำความเข้าใจในปัญหาเสียก่อน ความคิดและจิตใจคือสิ่งที่สำคัญที่ทำให้เกิดความสุข ใช้ชีวิตอย่างมีสติไม่ประมาท มีความอดทนที่จะต่อสู้กับปัญหา และมีความกล้าหาญในการนำพาตัวเองให้ชนะต่ออุปสรรคได้

ดูคลิปสัมภาษณ์ พระอนุรักษ์ รัฐธรรม ย้อนหลัง ได้ที่นี่

ชมรายการ Live สด  “ฅนต้นแบบ งานต้นแบบ เมืองนคร” ได้ทุกวันจันทร์ เวลา ๑๙.๓๐-๒๐.๓๐ น. ได้ที่นี่

*****************************************

ร่วมสนับสนุนผลิตสื่อ “สร้างรายได้ชุมชน กระตุ้นการท่องเที่ยว” ติดต่อโฆษณา ประชาสัมพันธ์ธุรกิจ นำสินค้ามาขายร่วมกัน Nakhonsistation 092-6565-298 คุณ เกียรติ

คุณเฉลิม จิตรามาศ ประชาสัมพันธ์ศาสนา สารานุกรมวัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร คนต้นแบบเมืองนคร

ศาสนามีความสำคัญกับการพัฒนาชุมชนและการจัดระเบียบสังคม บางส่วนของวัฒนธรรมมีรากฐานมาจากศาสนา ศาสนสถานเป็นศูนย์กลางของชุมชนที่หลอมรวมศรัทธาของผู้คนในชุมชนเข้าไว้ด้วยกัน แต่จะมีสักกี่คนที่เข้าใจถึงแก่นแท้ของศาสนา สามารถรักษาคุณค่าและสืบทอดไปสู่คนรุ่นหลังได้ อย่างที่ฅนต้นแบบเมืองนครท่านนี้เข้าใจในบทบาทหน้าที่ของตนเองเป็นอย่างดี ทำงานอย่างเต็มความสามารถ ขับเคลื่อนกิจกรรมต่างๆ ในวัดให้เป็นไปอย่างถูกต้องเหมาะสม คุณเฉลิม จิตรามาศ ประชาสัมพันธ์ศาสนา สารานุกรมวัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร

ชีวิตวัยเด็กที่เติบโตมากับวัด และความชื่นชอบทางด้านพุทธศิลป์

คุณเฉลิม จิตรามาศ เกิดในปีพ.ศ. 2499 เป็นคนนครศรีธรรมราชแต่กำเนิด ชีวิตในวัยเด็กมีความใกล้ชิดกับวัด เรียกได้ว่าเข้าออกวัดบ่อยราวกับเป็นบ้านอีกหลัง ทำหน้าที่เป็นศิษย์วัดเดินตามพระบิณฑบาตรแทบทุกเช้า หลังจบชั้นประถมศึกษาปีที่ 4  คุณเฉลิมได้บวชเป็นสามเณรอยู่ที่วัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร จากนั้นบวชเรียนนักธรรมชั้นตรีและภาษาบาลีประมาณปีกว่า แล้วย้ายไปจำพรรษาอยู่ที่วัดยะลาธรรมาราม จ.ยะลา

หลังจากสอบนักธรรมชั้นโท จึงได้เดินทางกลับมาจำพรรษาอยู่ที่วัดมะม่วงปลายแขน จ.นครศรีธรรมราช ซึ่งเป็นวัดแถวบ้านที่คุ้นชินตั้งแต่เด็ก จากนั้นถูกส่งไปเรียนบาลีที่วัดธรรมบูชา จ.สุราษฎร์ธานี และสอบได้นักธรรมชั้นเอกในเวลาต่อมา ปีพ.ศ. 2514 เมื่ออายุครบ 20 ปีบริบูรณ์จึงได้บวชเป็นพระภิกษุ และถูกส่งตัวไปที่กรุงเทพมหานคร เข้าศึกษาหลักสูตรพระปริยัติธรรม

นี่เป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้คุณเฉลิมมีโอกาสได้ศึกษาเรื่องโบราณสถาน และความรู้ทางด้านพุทธศิลป์ตามศาสนสถานต่างๆ จนเกิดเป็นความชื่นชอบ และสามารถถ่ายทอดเรื่องราวความเป็นมาสู่พุทธศาสนิกชนได้

จากงานช่างซ่อมวิทยุและโทรทัศน์ สู่ประชาสัมพันธ์วัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร

หลังจากบวชเป็นพระภิกษุได้สามพรรษาก็ได้ลาสิกขา และตัดสินใจเรียนการซ่อมวิทยุและโทรทัศน์เพื่อยึดเป็นอาชีพหลัก จากนั้นได้เดินทางไปทำงานที่ อ.ตะกั่วป่า จ.พังงา และกลับนครศรีธรรมราช เพื่อไปเป็นครูผู้ช่วยสอนซ่อมวิทยุและโทรทัศน์ คุณเฉลิมได้รับการทาบทามจากลูกศิษย์ที่มาเรียนให้ไปร่วมงานกับทางบริษัทระหว่างที่ทำงานอยู่ที่นั่นก็ได้มีโอกาสได้เดินทางไปศึกษาดูงานที่ต่างประเทศ หลังจากที่ทำงานสักระยะหนึ่งจึงตัดสินใจลาออกจากบริษัท เพื่อมาเปิดร้านซ่อมวิทยุและโทรทัศน์เอง

ในช่วงที่กลับมาอยู่นครศรีธรรมราชก็ได้ทราบว่าประชาสัมพันธ์วัดพระมหาธาตุวรมหาวิหารคนปัจจุบัน(ในตอนนั้น)ตั้งใจจะลาออก แต่ไม่สามารถลาออกได้ เนื่องจากต้องรอให้มีคนมารับช่วงต่อ คุณเฉลิมได้รับคำชักชวนจากบุคคลที่ช่วยประสานงานให้กับทางท่านเจ้าคุณเพื่อให้มารับตำแหน่ง เมื่อโอกาสมาถึงจึงไม่รีรอที่จะตอบรับ ตลอดระยะเวลาในการทำงานคุณเฉลิมได้ทำหน้าที่อย่างเต็มที่ นำความรู้จากช่วงที่บวชเป็นพระภิกษุมาประยุกต์ใช้กับงานอย่างเหมาะสม และคอยรับมือกับปัญหาต่างๆ อะไรที่ไม่ถูกต้องก็พยายามปรับปรุงแก้ไขให้เป็นไปตามแนวทางที่ควรจะปฏิบัติ

มุมมองความคิด และแรงบันดาลใจในการใช้ชีวิต

คุณเฉลิมเชื่อว่าแต่ละคนมีบทบาทหน้าที่ต่างกัน ประชาสัมพันธ์วัดไม่ใช่แค่การขับเคลื่อนกิจกรรมต่างๆ ในวัด แต่ต้องหัดสังเกตุเรียนรู้ เพื่อนำไปปรับปรุงพัฒนาการทำงานให้ดีขึ้น วัดพระมหาธาตุวรมหาวิหารเป็น ศาสนสถานที่สำคัญแห่งหนึ่งของภาคใต้ ที่พุทธศาสนิกชนให้ความเคารพอยากไปสักการะพระบรมธาตุเจดีย์สักครั้งหนึ่งในชีวิต ทำให้ในแต่ละปีมีนักท่องเที่ยวจำนวนไม่น้อยที่เดินทางไปเยี่ยมชม โดยเฉพาะในช่วงที่ทางวัดมีการจัดงานแห่ผ้าขึ้นธาตุในวันมาฆบูชาของทุกปี

ถือเป็นงานบุญประจำปีที่เนืองแน่นไปด้วยพุทธศาสนิกชนทั้งจากนครศรีธรรมราชและจังหวัดใกล้เคียง รวมทั้งนักท่องเที่ยวจากประเทศเพื่อนบ้านอย่างมาเลเซียและสิงคโปร์เป็นประเพณีที่กระทำผ่านความเชื่อและศรัทธาว่าการที่ได้ทำบุญในครั้งนี้เป็นมหาบุญใหญ่ และส่งเสริมความเป็นสิริมงคลในการใช้ชีวิต กิจกรรมที่จัดขึ้นภายในวัดจึงต้องมีการเตรียมความพร้อมเป็นอย่างดี ส่วนหนึ่งก็เพื่ออำนวยความสะดวกแก่พุทธศาสนิกชนที่ตั้งใจมาร่วมทำบุญในครั้งนี้ให้สำเร็จลุล่วงไปได้ดี ให้ได้รับความอิ่มบุญ อิ่มเอมใจกันถ้วนหน้า

มุมมองการใช้ชีวิตของคุณเฉลิมในวัยใกล้ 70  ให้ความเห็นที่น่าสนใจไว้ว่า ความเชื่อของคนเป็นเรื่องที่ยากจะเปลี่ยนแปลง แต่ละคนจะมีชุดความเชื่อที่ยึดมั่นกันมานาน ได้รับการปลูกฝังมาจากครอบครัวและชุมชน ความเชื่อที่แข็งแกร่งมักจะหยั่งรากลึกหลอมรวมกลายเป็นส่วนหนึ่งของบุคคลนั้น แสดงออกให้เห็นทางการกระทำ หากพูดถึงสิ่งที่เปรียบเสมือนหลักเมืองของศาสนาพุทธ นั่นคือ หลักธรรม เพราะแต่ละศาสนามีความเชื่อและหลักปฏิบัติที่ต่างกัน เราต้องเข้าใจความแตกต่าง แม้แต่คนในศาสนาเดียวกันก็ยังเชื่อและปฏิบัติต่างกัน อย่าเพิ่งเอาความคิด ความเชื่อของตัวเราเองไปยัดเยียดให้คนอื่น ลองตั้งใจรับฟังพยายามมองโลกอย่างเป็นกลางให้มากที่สุด หัดเรียนรู้เรื่องอื่นๆ ที่เราไม่เคยรู้มาก่อน เพื่อให้เข้าใจคนอื่นมากขึ้น แม้จะคิดต่างกันแต่ต้องเคารพซึ่งกันและกัน จึงจะอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุข

เพราะชีวิตไม่มีอะไรจีรังยั่งยืน จึงต้องใช้ชีวิตอย่างมีสติ เพื่อให้เกิดปัญญา รู้จักขบคิด วิเคราะห์แยกแยะในมิติต่างๆ ของข้อมูลที่ได้รับมา เชื่ออย่างมีเหตุมีเหตุ ควบคู่กับการเรียนรู้ฝึกฝนพัฒนาตนให้ดียิ่งขึ้น การพัฒนาจิตใจให้ทันกับความทันสมัยที่เปลี่ยนไปในแต่ละช่วงเวลาของชีวิต คือสิ่งที่ทำให้มนุษย์แตกต่างจากสิ่งมีชีวิตอื่นนั่นเอง

ชมรายการ Live สด  “ฅนต้นแบบ งานต้นแบบ เมืองนคร” ได้ทุกวันจันทร์ เวลา ๑๙.๓๐-๒๐.๓๐ น. ได้ที่นี่

*****************************************

ร่วมสนับสนุนผลิตสื่อ “สร้างรายได้ชุมชน กระตุ้นการท่องเที่ยว” ติดต่อโฆษณา ประชาสัมพันธ์ธุรกิจ นำสินค้ามาขายร่วมกัน Nakhonsistation 092-6565-298 คุณ เกียรติ

คุณ ศุภชัย แกล้วทนงค์  ศิลปะสร้างสรรค์ สร้างบ้านสร้างเมือง ครีเอทีฟนคร ฅนต้นแบบเมืองนคร

ความคิดสร้างสรรค์แทรกอยู่ในทุกมิติของวิถีชีวิต เห็นได้ชัดจากศิลปวัฒนธรรมอันเป็นอัตลักษณ์ในแต่ละพื้นที่ ในขณะที่ช่องว่างระหว่างปัจจุบันกับอดีตห่างกันมากขึ้น นับเป็นเรื่องดีที่มีผู้ให้ความสำคัญในการเชื่อมโยงความทันสมัยและความดั้งเดิมไว้ด้วยกันผ่านศิลปะสร้างสรรค์ อย่างที่ฅนต้นแบบเมืองนครศิลปินชาวใต้ท่านนี้ ได้นำเอาความคิดสร้างสรรค์ ประสบการณ์ และกระบวนการคิด มาผสานกับอัตลักษณ์ท้องถิ่น สร้างชีวิตชีวาให้กับวงการศิลปะและสถาปัตยกรรมท้องถิ่นของเมืองนครศรีธรรมราช คุณ ศุภชัย แกล้วทนงค์ ผู้ร่วมก่อตั้งกลุ่มครีเอทีฟนคร

ความชื่นชอบเกี่ยวกับศิลปะ และจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญในชีวิต

คุณศุภชัย เกิดที่อำเภอเชียรใหญ่ ชื่นชอบศิลปะตั้งแต่วัยเด็ก ชอบวาดรูป และทำงานประดิษฐ์ต่างๆ เมื่อจบระดับชั้นมัธยมศึกษา ได้เข้าศึกษาต่อระดับปริญญาตรีที่คณะมัณฑนศิลป์ สาขาออกแบบผลิตภัณฑ์ มหาวิทยาลัยศิลปากร ที่นี่ทำให้คุณศุภชัยได้เรียนรู้พื้นฐานเกี่ยวกับงานออกแบบ ในชั้นปีที่ 3 ที่ได้เรียนวิชาออกแบบยานยนต์ ก็ได้กลายมาเป็นส่วนสำคัญในการตัดสินใจเลือกอาชีพหลังจากเรียนจบ

หลังจากที่ทำงานในสายงานนี้มาระยะหนึ่งก็อยากทำให้ถึงที่สุด ความคิดของคุณศุภชัยในตอนนั้นมองว่า ประเทศไทยไม่ใช่ประเทศที่เป็นต้นแบบหรือผู้นำด้านการออกแบบยานยนต์ จึงอยากที่จะเปลี่ยนมาทำงานเชิงสร้างสรรค์ในอีกรูปแบบหนึ่งนั่นคือ การออกแบบงานหัตถกรรม คุณศุภชัยได้ไปเดินงานแสดงสินค้าหัตถกรรมที่จัดขึ้น จนไปเจอกับผลงานการออกแบบหัตถกรรมโดยบริษัทคนไทยที่โดนใจอย่างมาก เกิดเป็นแรงบันดาลใจบางอย่าง หากจะเป็นต้นแบบของงานออกแบบ ก็ต้องเริ่มจากสิ่งที่มีอย่างวัสดุท้องถิ่น งานหัตถกรรมพื้นบ้าน แล้วใส่งานดีไซน์เข้าไป การเปลี่ยนสายงานครั้งนี้ถือเป็นจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญในชีวิตก็ว่าได้

จากนั้นคุณศุภชัยได้ทำงานด้านการออกแบบผลิตภัณฑ์ เช่น ของที่ระลึก ของตกแต่งบ้าน ของใช้ในโรงแรมให้กับ Banyan Tree Gallery ในเครือโรงแรม Banyan Tree ซึ่งมีสาขาอยู่ทั้งในไทยและต่างประเทศ ตลอดระยะเวลาการทำงานกว่า 10 ปีครึ่ง การที่ได้มีโอกาสทำงานออกแบบหัตถกรรมร่วมกับผู้ประกอบการในชุมชนและท้องถิ่นในประเทศเพื่อนบ้านเป็นประสบการณ์ที่น่าสนใจอย่างมาก ได้เรียนรู้งานผ้าทอ งานไม้ และงานเซรามิก วิธีการประสานงานกับชุมชน ผลงานที่ออกมาจึงเป็นลูกผสมระหว่างความเป็นไทยและสากล

เมื่อนักออกแบบอิสระทำงานร่วมกับชุมชน

หลังจากที่ลาออกจากงาน คุณศุภชัยก็ได้ย้ายกลับมาอยู่นครศรีธรรมราช เหตุผลเพราะ อยากให้ลูกเติบโตในสภาพแวดล้อมที่ไม่ต้องเผชิญกับความวุ่นวายของสังคมเมืองใหญ่ อยากมีเวลาดูแลคุณพ่อคุณแม่ให้มากกว่าเดิม อิ่มตัวกับการใช้ชีวิตในเมืองหลวง และอยากใช้ความรู้และประสบการณ์มาทำงานร่วมกับชุมชน คุณศุภชัยมองว่า นครศรีธรรมราชมีต้นทุนทางทรัพยากร งานหัตถกรรม และวัฒนธรรมที่สามารถนำมาพัฒนาต่อยอดได้ ช่วงแรกที่กลับมาอยู่บ้านได้ผันตัวเองมาเป็นนักออกแบบอิสระ ได้เข้าอบรมโครงการอัตลักษณ์สร้างสรรค์ จัดโดยกระทรวงอุตสาหกรรม ได้เรียนรู้การทำหัตถกรรมท้องถิ่นโดยเฉพาะของนครศรีธรรมราช ทำให้มีโอกาสได้เจอกับช่างทำกรงนก โจทย์ของโครงการคือ นักออกแบบต้องจับคู่กับผู้ประกอบการท้องถิ่น แล้วสร้างสรรค์ผลงานโดยการสื่ออัตลักษณ์ท้องถิ่นลงไปในชิ้นงานนั้น จึงออกแบบกรงนกซึ่งต่อยอดจากทรงเทริดมโนราห์

ในปี 2015 ได้เข้าร่วมการประกวด Innovative Craft Award จัดโดยศูนย์ส่งเสริมศิลปาชีพระหว่างประเทศ ในโจทย์แรงบันดาลใจจากมรดกภูมิปัญญา ใช้เทคนิคดั้งเดิมในการทำกรงนกมาออกแบบโคมไฟโดยเลียนแบบรูปทรงของ “ลูกจาก” พื้นท้องถิ่นภาคใต้ ผลงานที่สร้างสรรค์โดยคุณศุภชัยในครั้งนี้ได้รับรางวัลชนะเลิศจนกลายเป็นที่รู้จักมีชื่อเสียงโด่งดัง ทำให้คนอื่นๆ เริ่มหันมามองการพัฒนางานวัสดุจากธรรมชาติในการนำมาสร้างสรรค์งานสินค้าใหม่ จากนั้นคุณศุภชัยได้จดทะเบียนบริษัทและนำผลงานร่วมสมัยจากการประกวด ซึ่งอาศัยทักษะฝีมือของช่างทำกรงนกในท้องถิ่นมาต่อยอดในเชิงพาณิชย์ ตลอดระยะเวลา 6 ปี ชิ้นงานมีการพัฒนามาเรื่อยๆ จุดเริ่มต้นจากกรงนก เป็นโคมไฟ เฟอร์นิเจอร์ ต่อยอดเป็นงานตกแต่งทั้งชิ้นเล็กและใหญ่ หลังจากที่ได้ทำงานร่วมกับชุมชนมาสักระยะ ทำให้เห็นว่าการทำงานของนักออกแบบโดยใช้วัสดุจากชุมชนสามารถตอบโจทย์ในเชิงธุรกิจได้จริง

การรวมกลุ่มครีเอทีฟนคร ผ่านงานศิลปะสร้างสรรค์ สร้างบ้านสร้างเมือง

กลุ่มครีเอทีฟนครเกิดจากการรวมตัวกันของกลุ่มคนทำงานสร้างสรรค์จากหลากหลายสาขา ก่อนหน้านี้ทางคุณศุภชัยเองก็ต้องการค้นหาว่าที่นครศรีธรรมราชมีใครบ้างที่ทำงานด้านนี้ แค่รวมกลุ่มกันเฉยๆ คงไม่ตอบโจทย์ จำเป็นจะต้องมีการทำกิจกรรมร่วมกัน เพื่อกระชับความสัมพันธ์ พูดคุยแลกเปลี่ยนประสบการณ์ของกลุ่มนักสร้างสรรค์เมืองนคร เดิมทีความคิดแรกอยากที่จะทำ Art Map เพื่อปักหมุดแกลอรี่ สตูดิโองานออกแบบ แต่พอมาคุยกันอีกทีก็อยากให้สมาชิกมีส่วนร่วมด้วยกัน จึงมีการจัดกิจกรรมต่างๆ เช่น พื้นที่สร้างสรรค์ผลงานศิลปะ นิทรรศการศิลปะจัดวาง กิจกรรมเวิร์คช้อป โดยใช้งานสร้างสรรค์เป็นตัวนำ ไม่ว่าจะเป็นงานออกแบบ งานสถาปัตยกรรม งานศิลปะ หรืองานสร้างสรรค์อื่นๆ เช่น นักจัดดอกไม้  นักเขียน Food Stylist สัญลักษณ์ของกลุ่มครีเอทีฟนครมีนัยยะที่ซ่อนอยู่ รูปแผนที่จังหวัดนครศรีธรรมราชสื่อให้เห็นอัตลักษณ์ของเมืองนคร ซึ่ง CREATIVE NAKHON  เป็นการสร้าง CREATIVE SPACE ขึ้นมา และสัญลักษณ์ก็ดูคล้ายกับการยิงปืน (Shooting) ที่สื่อความหมายถึงการพุ่งไปสู่เป้าหมายนั่นเอง

ทางกลุ่มจัดงานครั้งแรกที่ “ปารีทัส อาร์ต คลับ (Paretas Art Club)” อำเภอเมือง จังหวัดนครศรีธรรมราช โดย 13 ศิลปิน ปีที่ 2 จัดที่ อำเภอพรหมคีรี “สีดิน สตูดิโอ (See-Din Studio)” ภายใต้คอนเซ็ปท์ The Fruits Story สื่อให้เห็นความอุดมสมบูรณ์ของเมืองนคร ในปีที่ 3 ทางกลุ่มครีเอทีฟนครได้รับเชิญจากทางสถาปนิกทักษิณให้ร่วมงาน “อาษา มา-หา นคร (Asa ma-ha nakhon)”  งานนิทรรศการทางสถาปัตยกรรมครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดของเมืองนคร ภายใต้ธีม “ค้นหาคุณค่าของเมืองนคร”  ในแต่ละปีทางกลุ่มครีเอทีฟนครจะคัดเลือกพื้นที่ในการจัดงาน

ก่อนหน้านี้มีแนวคิดที่อยากจะให้สถานที่ในชุมชนถูกพัฒนาไปในเชิงเศรษฐกิจสร้างสรรค์ เมื่อเข้าสู่ปีที่ 4  ในปี 2021 นับเป็นความโชคดีตรงที่สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ มีโครงการ “ย่านเศรษฐกิจสร้างสรรค์ (Creative District)” โครงการยกระดับย่านสำคัญต่างๆ โดยใช้ศิลปะเข้ามาผสานไปกับวิถีชีวิตชุมชน ซึ่งย่านเหล่านี้มีร่องรอยประวัติศาสตร์เป็นต้นทุนอยู่แล้ว นครศรีธรรมราช ย่านท่ามอญ และท่าวัง ก็เป็นหนึ่งในย่านเศรษฐกิจสร้างสรรค์นำร่อง 15 จังหวัด เตรียมจัดกิจกรรมเทศกาลงานสร้างสรรค์ ครีเอทีฟนคร ครั้งที่ 4 ภายใต้ธีม RE-SET  คิดใหม่ ในย่านเก่า ในรูปแบบที่ให้ผู้เข้าชมได้มีประสบการณ์ร่วมกับพื้นที่

แรงบันดาลใจส่วนหนึ่งมาจากผลกระทบของสถานการณ์โควิด-19 ที่ทำให้ต้องหันกลับมาทบทวน เตรียมพร้อมที่จะก้าวเดินไปสู่ความเป็นไปได้ใหม่ อีกส่วนหนึ่งคือ การมองเห็นคุณค่าของสิ่งดั้งเดิมที่มีอยู่ นำมาจัดระเบียบใหม่ นำเสนอใหม่ เกิดการพัฒนาเชิงสร้างสรรค์ ความคาดหวังของกลุ่มครีเอทีฟนคร คือ อยากเห็นร้านค้าเพิ่มขึ้น ชุมชนมีชีวิตชีวามากขึ้น เศรษฐกิจดีขึ้น กลายเป็นย่านท่องเที่ยวใหม่ในนครศรีธรรมราช

แรงบันดาลใจใหม่ๆ จากสิ่งที่มีในชุมชน ผสานเข้ากับความคิดสร้างสรรค์และประสบการณ์ พัฒนาต่อยอดผลักดันงานหัตถกรรมท้องถิ่นสู่ระดับสากล สร้างอาชีพเพิ่มรายได้ให้ผู้คนในท้องถิ่น เป็นการออกแบบชีวิตที่สมดุล ชีวิตที่มีความสุข การรวมกลุ่มของนักออกแบบ นักสร้างสรรค์ในพื้นที่ จึงไม่ใช่แค่การสร้างสรรค์ผลงานศิลปะเท่านั้น เป็นการสร้างและส่งต่อแรงบันดาลให้แก่คนในชุมชนเช่นกัน

ติดตามคลิปสัมภาษณ์ คุณ ศุภชัย แกล้วทนงค์  ย้อนหลังได้ที่นี่

ชมรายการ Live สด  “ฅนต้นแบบ งานต้นแบบ เมืองนคร” ได้ทุกวันจันทร์ เวลา ๑๙.๓๐-๒๐.๓๐ น. ได้ที่นี่

*****************************************

ร่วมสนับสนุนผลิตสื่อ “สร้างรายได้ชุมชน กระตุ้นการท่องเที่ยว” ติดต่อโฆษณา ประชาสัมพันธ์ธุรกิจ นำสินค้ามาขายร่วมกัน Nakhonsistation 092-6565-298 คุณ เกียรติ

 

คุณ พงศธร ส้มแป้น สืบสานหนังตะลุง มุ่งมั่นรักษาวัฒนธรรม ฅนต้นแบบเมืองนคร

หนังตะลุง ศิลปะการแสดงอันเป็นเอกลักษณ์อย่างหนึ่งของไทย ที่สะท้อนวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของคนในท้องถิ่นภาคใต้แต่ละยุคสมัย เมื่อเวลาผ่านไปน้อยคนนักที่รู้จักและมีโอกาสได้ชมศิลปะพื้นบ้านนี้ อย่างการแกะรูปหนังตะลุงต้องอาศัยช่างฝีมือผู้มีความชำนาญ ส่วนการแสดงหนังตะลุงไม่ใช่ฝึกกันได้ง่ายๆ และต้องอาศัยความร่วมมือจากหลายคนหลายองค์ประกอบ เช่นเดียวกับแขกรับเชิญฅนต้นแบบเมืองนครท่านนี้ ซึ่งเป็นคนรุ่นใหม่ที่สนใจวัฒนธรรมพื้นบ้าน เริ่มจากความชื่นชอบสู่ความตั้งใจในการสืบสานหนังตะลุงให้เป็นที่รู้จัก คุณพงศธร ส้มแป้น เยาวชนดีเด่นแห่งชาติสาขาศิลปวัฒนธรรม

ความชื่นชอบ พรสวรรค์ และแรงบันดาลใจ

คุณพงศธร เล่าว่า จากคำบอกเล่าของคุณแม่นั้นคุณพงศธรชื่นชอบหนังตะลุงตั้งแต่วัยเด็ก ช่วงวัยประถมมีโอกาสได้ไปทัศนศึกษาที่วัดพระศรีมหาธาตุวรวิหารนครศรีธรรมราชกับทางโรงเรียน ได้นำเงินค่าขนมทั้งหมดที่คุณแม่ให้ไปซื้อหนังตะลุง ส่วนตัวชอบฟังรายการแสดงหนังตะลุงทางสถานีวิทยุที่ออกอากาศทุกวัน โดยที่คุณพ่อมักจะวาดหนังตะลุงลงบนกระดาษให้คุณพงศธรเล่น เมื่อรู้ว่าตัวเองชอบหนังตะลุงอย่างจริงจัง จึงเริ่มติดตามการแสดงอยู่เรื่อยๆ ตามโอกาสต่างๆ ส่วนใหญ่เป็นหนังพากษ์เทปที่บันทึกเสียงการแสดงหนังตะลุง พร้อมกับการเชิดหนังตะลุง การแสดงรูปแบบนี้หาดูได้ง่ายกว่าหนังตะลุงพากย์สดที่มีค่าใช้จ่ายค่อนข้างสูงกว่ามาก คุณพงศธรค่อยๆ ซึมซับศิลปะการแสดงหนังตะลุงโดยไม่รู้ตัว ถึงขนาดที่ว่าสามารถแสดงได้โดยที่ไม่เคยดูเทปนั้นมาก่อน

ช่วงอายุประมาณ 11-12 ปี คุณพ่อพาไปเยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์บ้านหนังตะลุงสุชาติ ทรัพย์สิน (คุณสุชาติ หรือที่รู้จักในนาม “หนังสุชาติ” ศิลปินแห่งชาติสาขาศิลปะการแสดงพื้นบ้านหนังตะลุง) ในตอนนั้นคุณพ่อได้ฝากฝังคุณพงศธรให้เป็นลูกศิษย์กับหนังอาจารย์สุชาติ เริ่มฝึกฝนกับหนังพากย์เทปมาเรื่อยๆ จนวันหนึ่งได้รับงานแรกในชีวิตมีญาติเป็นผู้ว่าจ้าง สร้างความตื่นเต้นให้กับคุณพงศธรอย่างมาก จากนั้นได้มีโอกาสแสดงหนังตะลุงตามงานศพ เมื่อคุณพ่อเห็นพรสวรรค์ทางด้านนี้จึงสร้างโรงหนังตะลุงขึ้นเพื่อให้ฝึกฝน เมื่อเข้าศึกษาระดับชั้นมัธยมต้น มีอาจารย์ในโรงเรียนท่านหนึ่งได้เปิดสอนวิชาหนังตะลุง คุณพงศธรจึงไม่พลาดโอกาสนี้ ในช่วงแรกอาจารย์ให้ศึกษาผ่านรูปแบบหนังตะลุงพากย์เทป ระหว่างนั้นคุณพงศธรก็หารายได้พิเศษผ่านการแสดงหนังตะลุงพากย์เทปเช่นกัน

จุดเปลี่ยนในชีวิตกับการตัดสินใจครั้งสำคัญ เพื่อยืดหยัดในการแสดงหนังตะลุง

วันหนึ่งคุณพงศธรได้ข่าวว่ามีคณะหนังตะลุงจากพัทลุงมาทำการแสดงแถวละแวกบ้าน จึงได้มีโอกาสทำความรู้จักกับหนังอาจารย์ทวี พรเทพ คำพูดของอาจารย์ที่เชิญชวนให้แวะไปที่บ้าน เหมือนเป็นการจุดไฟในการแสดงหนังตะลุงให้ลุกโชนขึ้น ช่วงปิดเทอมปีนั้นคุณพงศธรตัดสินใจเดินทางไปหาหนังอาจารย์ทวีเพื่อฝากตัวเป็นลูกศิษย์และฝึกฝนอย่างจริงจัง ในช่วง 20 วันแรกอาจารย์ให้คุณพงศธรดูการแสดงหนังตะลุงตามงานต่างๆ ของคณะ งานแรกที่ได้แสดงให้กับอาจารย์ทวีคือ งานฉลองเรือพระที่อำเภอโคกโพธิ์ จังหวัดปัตตานี หากช่วงไหนที่ไม่มีงาน อาจารย์ทวีจะพาไปที่ศูนย์การเรียนรู้หอศิลป์หนังตะลุง สถานที่เผยแพร่สืบทอดเรื่องราวเกี่ยวกับหนังตะลุง ก่อตั้งโดยอาจารย์กิตติทัต ศรวงศ์ ครูช่างที่มีความสามารถในการแกะตัวหนังตะลุง ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่คุณพงศธรได้ฝึกการแสดงหนังตะลุงอย่างจริงจัง แม้ในช่วงเปิดเทอมก็ได้แบ่งเวลาไปฝึกฝนอย่างต่อเนื่อง

จนมาถึงจุดพลิกผันของชีวิตในวัยประมาณ 15 ปี ทางบ้านไม่สามารถส่งเสียให้เรียนต่อได้ ในขณะที่ทางบ้านยื่นขอเสนอให้ช่วยงานที่บ้าน ทางฝั่งของอาจารย์อยากให้ศึกษาต่อแต่ต้องย้ายไปอยู่ที่พัทลุง คุณพงศธรได้ตัดสินใจเดินทางไปพัทลุงโดยที่ไม่ได้บอกทางบ้าน เมื่อไปถึงก็ได้ทำงานกับคณะหนังตะลุงในตำแหน่งลูกคู่หนัง (ทำหน้าที่เล่นดนตรี) เพื่อเก็บเงินเพื่อส่งตัวเองเรียนที่วิทยาลัยนาฏศิลปพัทลุงโดยมีอาจารย์คอยช่วยเหลือจุนเจือ ที่นั่นมีร้านน้ำชาที่บรรดาคณะหนังตะลุงเกือบ 20 คณะจะมานั่งดื่มน้ำชาและพูดคุยกันทุกเช้า ทำให้คุณพงศธรมีโอกาสได้เจอกับคณะที่ตัวเองชื่นชอบ และเริ่มไปเป็นลูกคู่ให้กับคณะอื่นๆ การแสดงหนังตะลุงแบบจริงจังครั้งแรกเกิดขึ้นที่งานสมโภชเจ้าแม่กวนอิม ในตอนแรกคุณพงศธรตั้งใจจะแสดงหนังตะลุงพากย์เทป แต่พอไปถึงทางผู้จัดงานได้เตรียมโรงหนังตะลุงพร้อมเครื่องดนตรีไว้ให้ คุณพงศธรกับเพื่อนที่ไปด้วยกันจึงตัดสินใจทำการแสดงสด นับเป็นก้าวแรกที่สร้างความตื่นเต้นและประทับใจไม่น้อย

ในช่วงที่เรียนวิทยาลัยนาฏศิลปได้เทอมแรก คุณพงศธรตั้งคำถามกับตัวเองว่า หลังจากเรียนจบแล้วจะทำอะไรต่อไป ตอนนั้นมีความใฝ่ฝันอยากเป็นครูสอนวิชาภาษาไทย ก็มาคิดว่าเมื่อเรียนจบสาขาปี่พาทย์จะสามารถสอนหนังสือได้หรือไม่ จึงตัดสินใจลาออกจากวิทยาลัยเพื่อเข้าเรียนที่โรงเรียนพัทลุงพิทยาคม หลังจากที่มีโอกาสได้ออกโรงแสดงหนังตะลุงแล้ว ต้องผ่านพิธีที่เรียกว่า “ครอบมือหนังตะลุง” เพื่อแสดงการยอมรับนับถือครูหนังแต่ครั้งบุพกาล ถือเป็นการผ่านพิธีโดยสมบูรณ์ หลังจบการศึกษาระดับชั้นมัธยมได้เข้าศึกษาต่อระดับอุดมศึกษาที่มหาวิทยาลัยราชภัฏนครศรีธรรมราช มีโอกาสรู้จักและขอฝากตัวเป็นศิษย์กับอาจารย์จำเนียร คำหวาน นายหนังตะลุงชื่อดังของอำเภอท่าศาลา ซึ่งเป็นบ้านเกิดของคุณพงศธรนั่นเอง

ดูหนังตะลุงอย่างไรให้สนุกและได้ความรู้

หนังตะลุง เป็นการแสดงเรื่องราวผ่านตัวละครหนังตะลุง แต่ละเรื่องจะถ่ายทอดองค์ความรู้ สะท้อนเรื่องราวต่างกันไป มักจะมีคติสอนใจแฝงอยู่ เนื้อเรื่องที่นำมาแสดงหนังตะลุงมีวิวัฒนาการมาเรื่อยๆ ตามยุคสมัย ในยุคก่อนได้รับอิทธิพลจากการแสดงรามเกียรติ์ ยุคต้นมีการนำบทละครมาจากวรรณคดีไทย ยุคกลางนำเค้าโครงวรรณกรรมประเภทบทละครนอก มาประพันธ์ใหม่กลายเป็นวรรณกรรมพื้นบ้าน ส่วนยุคปลายเป็นการแสดงหนังตะลุงลูกทุ่งมีการผสมผสานตัวละครในชีวิตจริงจึงไม่มีบทยักษ์ปรากฏ

คุณพงศธร เล่าว่า วรรณกรรมหนังตะลุงได้มาจากการแสดงของอาจารย์หลายท่านที่ตัวเองนับถือ ยังคงเอกลักษณ์เดิมไว้เพื่อเป็นการสืบทอดผลงานของอาจารย์ แต่ก็มีบางส่วนที่เกิดจากการผสมผสานเรื่องราวที่ชอบแทรกเข้ามา เช่น การแสดงบางตอนของคณะที่ชื่นชอบ เค้าโครงวรรณกรรมไทย รวมถึงซีรีย์ต่างประเทศ สำหรับตัวละครหนังตะลุง ส่วนตัวคุณพงศธร แบ่งเป็น 5 หมวด คือ

  • รูปครู เช่น พระอิศวร ฤาษี เป็นตัวละครศักดิ์สิทธิ์
  • รูปยอด เช่น ยักษ์ เจ้าเมือง นางเมือง ขุนผล เป็นตัวละครที่มียศถาบรรดาศักดิ์
  • รูปเดิน เช่น พระเอก นางเอก ตัวร้าย เป็นตัวละครที่ใช้ดำเนินเรื่อง
  • รูปกาก เช่น ไอ้เท่ง หนูนุ้ย ยอดทอง ตัวละครที่เป็นตัวตลก
  • รูปเบ็ดเตล็ด เช่น ต้นไม้ สัตว์ต่างๆ

การที่จะดูหนังตะลุงให้สนุก ผู้ชมต้องตั้งใจชมการแสดง และมีเป้าหมายที่ชัดเจนว่าอยากดูเพื่ออะไร เช่น เพื่อความบันเทิง  เพื่อสะท้อนวิถีชีวิตของคนสังคม เพราะเนื้อหาที่นำมาแสดงของแต่ละคณะนั้นต่างกัน นายหนังแต่ละคนมีความถนัดและรูปแบบการถ่ายทอดไม่เหมือนกัน

การแสดงหนังตะลุงถูกถ่ายทอดผ่านองค์ความรู้ บริบททางสังคม และประสบการณ์ของบรรพชน สะท้อนให้เห็นการเปลี่ยนแปลงทางสังคมแต่ละยุคสมัย คงเป็นเรื่องที่น่าเสียดายอย่างมาก หากมรดกทางวัฒนธรรมท้องถิ่นต้องเลือนหายไปตามกาลเวลา ทางเราอยากที่จะเชิญชวนให้ทุกท่านร่วมกันอนุรักษ์และพัฒนาให้คนรุ่นใหม่เห็นคุณค่าของศิลปวัฒนธรรมไทยเพื่อสืบสานให้คงอยู่ต่อไป

ติดตามคลิปสัมภาษณ์ คุณพงศธร ส้มแป้น  ย้อนหลังได้ที่นี่

ชมรายการ Live สด  “ฅนต้นแบบ งานต้นแบบ เมืองนคร” ได้ทุกวันจันทร์ เวลา ๑๙.๓๐-๒๐.๓๐ น. ได้ที่นี่

*****************************************

ร่วมสนับสนุนผลิตสื่อ “สร้างรายได้ชุมชน กระตุ้นการท่องเที่ยว” ติดต่อโฆษณา ประชาสัมพันธ์ 092-6565-298 คุณ เกียรติ