เรื่องวัดร้าง ในนครศรีธรรมราช

เรื่องวัดร้าง
ในนครศรีธรรมราช

หลายวันมานี้ ได้ยินคำว่า “เหลียวหลัง-แลหน้า” ค่อนข้างถี่ ความจริงสำนวนนี้ไม่ใช่ของใหม่ เท่าที่สังเกตมักมีปกติใช้กับอะไร ๆ ที่สมาคมเห็นพ้องกันว่าเป็น “มรดก” แล้วต้องการที่จะสืบกลับไปเรียนรู้ และแสวงหาทางเลือก ทางรอดต่อไปในอนาคต ส่วนตัวเห็นว่าระหว่างสองคำนี้ ควรมีบางอย่างบางคำแทรกอยู่ด้วยในระหว่างนั้น

“เหลียวหลัง” ให้อารมณ์ของการหวนกลับไปมอง ไปรู้สึกย้อนอดีต เอาเข้าจริงหากหลักในการมองย้อนไม่ชัดพอ การเหลียวหลังที่ว่าอาจทำได้เพียงอาการโหยหาอาลัยอาวรณ์ เพ้อร่ำพร่ำพรรณนาเท่านั้น เช่นเดียวกับ “แลหน้า” ที่ควรต้องแสดงจุดยืนไว้ให้หนักแน่นพอที่จะป้องกันความเพ้อพกเลื่อนลอย

คำที่ควรแทรกอยู่กลางนั้น ยังคิดเร็ว ๆ ไม่ออกว่าจะเป็นอะไร แต่หาก “เหลียวหลัง” = “อดีต” และ “แลหน้า” = “อนาคต” แล้ว แน่นอนว่าคำกลางก็จะควรคือคำที่สื่อแสดงถึงการมองและเห็น “ปัจจุบัน” ฉะนี้

เมื่อราว 3 ปีก่อนเคยเข้าไปหารือกับสำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัดนครศรีธรรมราชเรื่องการทำภูมิสถานของเมืองนครศรีธรรมราช ประมาณว่าร่างเป็นแผนที่เดิม ณ ยุคใดยุคหนึ่งที่ปรากฏความเป็นนครศรีธรรมราชชัดเจนและเจริญที่สุด ท่านรับหลักการไว้ แต่ติดด้วยหลายเหตุผลจึงไม่ได้ขวนขวายดำเนินการต่อ ในระหว่างนั้น ได้ลองค้นดูโดยเฉพาะ “วัดร้าง” ก็พบว่าเอกอุในเรื่องนี้คืออาจารย์บัณฑิต สุทธิมุสิก ซึ่งได้ลองเทียบวัดร้างกับที่ตั้งปัจจุบันเอาไว้ในสารนครศรีธรรมราช ฉบับเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๔๑ 

จึงอยากจะลองชวนกันเหลียวหลัง ให้เห็นปัจจุบันกันดังนี้
ส่วนว่าข้างหน้าจะแลไปเห็นอะไรนั้น สุดรู้ฯ

ลำดับ 

ชื่อ

ที่ตั้งปัจจุบัน

๑. วัดกุฏ หรือวัดป่าสุด โรงเรียนอำมาตย์พิทยานุสรณ์
๒. วัดประตูโกบ วิทยาลัยเทคนิคนครศรีธรรมราช
๓. วัดชุมแสง วิทยาลัยเทคนิคนครศรีธรรมราช
๔. วัดมะขามชุม โรงเรียนศรีธรรมราชศึกษา (แผนกอนุบาล)
๕. วัดโพธิ์มอญ ชุมชนนอกโคก (ข้างวัดศรีทวี)
๖. วัดเท หน้าวัดศรีทวี
๗. วัดสมิท หน้าห้างสรรพสินค้าสหไทย
๘. วัดชมภูพล ห้างสรรพสินค้าสหไทยพลาซ่า
๙. วัดเจดีย์ยักษ์ เทศบาลนครนครศรีธรรมราชและวิทยาลัยอาชีวศึกษานครศรีธรรมราช
๑๐. วัดพระเงิน หลังวิทยาลัยอาชีวศึกษานครศรีธรรมราช
๑๑. วัดหูน้ำ บ้านพักข้าราชการกระทรวงการคลังและสุสานคริสเตียน
๑๒. วัดท่าช้าง มัสยิดซอลาฮุสดีน(ท่าช้าง) และสถานีตำรวจภูธรนครศรีธรรมราช
๑๓. วัดพระวิหารสูง พระวิหารสูงและโรงเรียนกัลยาณีศรีธรรมราชฝั่งสนามหน้าเมือง
๑๔. วัดชายตัง หลังพระวิหารสูง
๑๕. วัดประตูขาว โรงเรียนอนุบาลจังหวัดนครศรีธรรมราช
๑๖. วัดหน้าพระคลัง สำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัดนครศรีธรรมราช
๑๗. วัดเสมาชัย โรงเรียนเทศบาลวัดเสมาเมือง
๑๘. วัดโรงช้าง บ้านพักผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษานครศรีธรรมราช เขต ๑
๑๙. วัดดิ่งดง ตรงข้ามโรงเรียนวัดพระมหาธาตุ
๒๐. วัดธะระมา ตรงข้ามโรงเรียนวัดพระมหาธาตุ ติดกับวัดสระเรียง
๒๑. วัดป่าขอม โรงเรียนจรัสพิชากร
๒๒. วัดสิงห์ หน้าวัดพระมหาธาตุ วรมหาวิหาร
๒๓. วัดหลังพระ ถนนหลังวัดพระมหาธาตุ วรมหาวิหาร
๒๔. วัดหอไตร วิทยาลัยศิลปหัตถกรรมนครศรีธรรมราช
๒๕. วัดสวนหลวงตะวันออก พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ นครศรีธรรมราช
๒๖. วัดพระเสด็จ หอสมุดแห่งชาติ นศ., สนง.ตรวจเงินแผ่นดิน และสนง.โทรศัพท์จังหวัด
๒๗. วัดกุฏ การไฟฟ้าฝ่ายผลิต (ตรงข้าม สนง.ตรวจเงินแผ่นดิน)
๒๘. วัดบ่อโพง การไฟฟ้าฝ่ายผลิต (ตรงข้าม สนง.ตรวจเงินแผ่นดิน)
๒๙. วัดเพชรจริกตะวันออก สำนักงานปศุสัตว์จังหวัดนครศรีธรรมราช
๓๐. วัดพระเวียง สถานสงเคราะห์เด็กชายบ้านศรีธรรมราช
๓๑. วัดเจดีย์เอน ปั๊ม ปตท. หัวถนน
๓๒. วัดสารีบุตร ไม่แน่ชัด (มีแต่ชื่อถนน)
๓๓. วัดคิด ไม่แน่ชัด (มีแต่ชื่อถนน)
๓๔. วัดสระเกษ จวนผู้ว่าราชการจังหวัดนครศรีธรรมราช
๓๕. วัดโมฬี หรือ วัดเมาลี วัดชะเมา
๓๖. วัดประตูเขียน วัดชะเมา
๓๗. วัดสมิทฐาน วัดชะเมา
๓๘. วัดพระขาว วัดชะเมา
๓๙. วัดพระเดิม วิหารโพธิ์พระเดิม วัดพระมหาธาตุ วรมหาวิหาร
๔๐. วัดมังคุด ทิศเหนือของวัดพระมหาธาตุ วรมหาวิหาร
๔๑. วัดไฟไหม้ วัดท้าวโคตร (ด้านทิศตะวันตก)
๔๒. วัดสพ วัดท้าวโคตร (ด้านทิศตะวันออก)
๔๓. วัดท่าโพธิ์เก่า โรงเรียนเทศบาลวัดท่าโพธิ์

เจ้าแม่อ่างทอง วัดเสมาชัย เมืองนครศรีธรรมราช

เจ้าแม่อ่างทอง
วัดเสมาชัย เมืองนครศรีธรรมราช

ทั้งชื่อเจ้าแม่และวัดนี้ มีนัยยะสำคัญอย่างมาก น่าเสียดายที่ความทรงจำได้จางเคลื่อนเลือนหายไปแล้วเกือบหมดสิ้น ทิ้งไว้เพียงรอยจางๆ ที่พอจะใช้คลี่มองภาพสะท้อนความคิดและความเชื่อของชาวนครศรีธรรมราชได้อยู่บ้าง

อ่างทอง

แรกได้ยินว่า “อ่างทอง” หลายคนคงคิดไปถึงจังหวัดอ่างทองในภาคกลางของประเทศไทย หรือไม่ก็คงคุ้นหูกับหมู่เกาะอ่างทอง จังหวัดสุราษฎร์ธานี กับอีกอ่างทองที่เป็นตำบลหนึ่ง ในอำเภอเชียงคำ จังหวัดพะเยา ทุกที่ที่กล่าวมามีสถานะเป็นพื้นที่ทั้งสิ้น เว้นแต่จังหวัดนครศรีธรรมราช ที่มาปรากฏเป็นชื่อ “เจ้าแม่” แต่ยังไม่เคยผ่านตาว่าจะมีบ้านอ่างทองในละแวกศาลาที่ประดิษฐาน

 

“อ่าง” ให้ความรู้สึกว่าเป็นของ “ลุ่ม” และ “ราบ”

“ทอง” ชี้ไปในช่อง “ของมีค่า”

 

เกี่ยวกับ “อ่างทอง” ในมิติของพื้นที่ อาจคือคำอุปมาไปว่า ณ ตำแหน่งนั้น ๆ เป็นทำเลอันอุดมไปด้วยทรัพยากรมีค่า หากเป็นพื้นดินคงหนีไม่พ้นภาพของการเป็นอู่ข้าว อู่น้ำ ที่ช่อชวงรวงทองจะผลิออกสุกใสเหลืองอร่ามไปทั้งลุ่ม ในขณะที่หากเป็นผืนน้ำ คงให้ภาพของความสมบูรณ์ทางทะเลทั้งจากสัตว์น้ำ และเกาะแก่งแง่งผา

 

เจ้าแม่อ่างทอง

ตานี้พอเป็น “เจ้าแม่อ่างทอง” ก็เป็นไปได้ว่าจะเป็นผลจากความเชื่อในคติ “อารักษ์” ที่แสดงสถานะของ “สตรี” ใน “พื้นถิ่น” อาจเป็นความคิดและความเชื่อในชั้น Primitive ของพื้นที่ก่อนการรับเข้าพระพุทธศาสนา ที่เชื่อว่าผลจากความอุดมสมบูรณ์จนทำให้บริเวณนี้เสมือนหนึ่งอ่างทอง ก็ด้วยความศักดิ์สิทธิ์และแรงบันดาลของเจ้าแม่อ่างทองผู้มีฐานะเป็นทั้งผู้บริบาลและอารักษ์ผลอาสิน

 


ที่น่าสนใจคือ ปฏิบัติการของการต่อสู้ต่อรองที่ปรากฏบนพุทธลักษณะของพระพุทธรูปองค์ประธาน เข้าใจว่าเดิมเป็นหมู่พระพุทธรูปสามองค์ ตามหลักอดีต-ปัจจุบัน-อนาคตพุทธเจ้า (องค์เล็กตรงกลางหน้าสุดน่าจะสร้างขึ้นสมัยหลัง) ในที่นี้ องค์ประธานซึ่งคือพระปัจจุบันพุทธเจ้ากลับถูกปรับแปลงส่วนของอุษณีษะให้คล้ายเป็นมุ่นมวยผมของสตรีพร้อมป้ายจารึกไว้อย่างชัดเจนว่า “เจ้าแม่อ่างทอง” ในขณะที่ยังคงประทับนั่งปางมารวิชัยตามอย่างพระพุทธรูปองค์อื่น

 

ก่อนจะเป็นหลาเจ้าแม่อ่างทองในปัจจุบัน ณ ตำแหน่งเดียวกันนี้เคยทำหน้าที่พระอุโบสถของวัดเสมาชัย มีใบเสมาหินชนวนปักอยู่โดยรอบเป็นเขตแดน ดูเหมือนว่าจะเป็นวัดเดียวในเขตกำแพงเมืองนครศรีธรรมราชที่มีใบเสมาทำด้วยหินชนิดนี้และเป็นเสมาคู่

วัดเสมาชัย

ขยับมาคลี่ที่ชื่อวัด “เสมาชัย” ก็ให้ความหมายไปถึงเขตแดนหรือหมุดหมายแห่ง “ชัย” สำหรับเมือง ดังนั้น การที่เจ้าแม่อ่างทองได้เข้ามามีความหมายเหนือพระปัจจุบันพุทธเจ้าในที่ที่เป็นหมุดหมายแห่งชัยชนะของเมืองได้สำเร็จเช่นนี้ ย่อมแสดงถึงพลังแห่งความคิดและความเชื่อของพื้นถิ่น ที่ยังคงมีอำนาจต่อรองและแสดงผลของอำนาจเหล่านั้นแทรกอยู่ภายใต้ความคิดและความเชื่อใหม่ อย่างน้อยก็เป็นเค้าเป็นรอยให้พอจะคลี่มองได้บ้าง

 

กุหลาบมอญ

ปัจจุบันยังได้ยินว่า หากใครหรือหน่วยงานใด ประสงค์จะจัดกิจกรรมบริเวณหน้าเมือง สวนศรีธรรมาโศกราช หรืออาณาเขตรอบวัดเสมาชัยนี้ จะต้องไปขอพร ขอชัย ขอให้ปัดเป่าฝนและอุปัทวภัยอยู่สืบเนื่อง รวมถึงแต่ละปีช่วงเดือนกันยายน โรงเรียนเทศบาลวัดเสมาเมืองผู้ดูแลพื้นที่ก็จะจัดให้มีพิธีสมโภชบวงสรวงเป็นประจำ สิ่งสำคัญที่ขาดไม่ได้คือ เล่าว่าเจ้าแม่อ่างทองนี้ ท่านโปรด “กุหลาบมอญ”ฯ

 

Malong มาลอง ไวน์กระเจี๊ยบและลูกหว้า ของดี ตำบลการะเกด อำเภอเชียรใหญ่

     เราไปเที่ยวที่ไหนก็ต้องซื้อของฝากของที่ระลึกติดไม้ติดมือกลับไปด้วย และสินค้าของดีของขึ้นชื่อของแต่ละจังหวัดก็มีแตกต่างกันออกไป บางสินค้าผลิตหรือแปรรูปมาจากสิ่งที่มีอยู่ในหมู่บ้านในชุมชน แปรรูปเพื่อสร้างรายได้ให้กับคนในชุมชนและแปรรูปเพื่อไม่ในทรัพยากรที่มีอยู่อย่างมากสูญเสียไปอย่างไร้ประโยชน์

ถ้าพูดถึงผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มที่แปรรูปจากผลไม้ ที่สามารถซื้อไปเป็นของฝาก หรือซื้อกับไปดื่มฉลอง สังสรรค์ เนื่องในโอกาสต่างๆ ก็ต้องหนีไม่พ้นไวน์ผลไม้นะคะ ถ้าจังหวัดเชียงใหม่มีไวน์สตอเบอรี่เป็นของขึ้นชื่อ จังหวัดนครศรีธรรมราชเราก็มีไวน์ขึ้นชื่อเหมือนกันนะคะ วันนี้แอดจะพาทุกท่านไปรู้จักกับ Malong ผลิตภัณฑ์ที่แปรรูปจากกระเจี๊ยบและลูกหว้า ผลไม้ในท้องถิ่น ตำบลการะเกด อำเภอเชียรใหญ่ จังหวัดนครศรีธรรมราช

 

คุณบุญมาก ประธานวิสาหกิจชุมชนบางขี้หมู เล่าให้ฟังว่า ก่อนที่จะเกิดขึ้นเป็นไวน์กระเจี๊ยบ ทางวิสาหกิจชุมชนได้ผลิตแยมกระเจี๊ยบขึ้นมาก่อน และเมื่อผลิตแยมกระเจี๊ยบแล้วมีน้ำกระเจี๊ยบเหลือเป็นจำนวนมากจึงไม่อยากจะทิ้งให้น้ำกระเจี๊ยบเสียประโยชน์ไปเปล่าๆ จึงนำน้ำกระเจี๊ยบที่เหลือมาทำเป็นน้ำกระเจี๊ยบสดขาย แต่ด้วยน้ำกระเจี๊ยบสดมีอายุการเก็บรักษาไว้ทานนั่นได้ไม่นาน จึงต้องคิดหาวิธีทำให้การเก็บรักษาของน้ำกระเจี๊ยบให้นานกว่าเดิม จึงเกิดการประชุมหาวิธีกันในกลุ่มวิสาหกิจ และได้ข้อสรุปกันว่าจะผลิตไวน์กัน เริ่มศึกษาและทดลองผลิตไวน์กระเจี๊ยบจนสำเร็จผล และได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี จึงคิดจะหาผลไม้ท้องถิ่นมาผลิตไวน์เพิ่มอีก และได้เห็นลูกหว้าที่เป็นต้นไม้ขนาดใหญ่มีผล ที่ใกล้จะสูญพันธุ์จึงนำลูกหว้ามาแปรรูปผลิตเป็นไวน์ลูกหว้า เพื่อที่จะได้อนุรักษ์ลูกหว้าผลไม้ท้องถิ่นของชุมชน และเพื่อเป็นเจ้าแรกที่แรกที่ผลิตไวน์ลูกหว้า และได้รับการรับรองมาตรฐานโดยกรมสรรพสามิตอีกด้วยนะคะ

รสชาติของไวน์กระเจี๊ยบและไวน์ลูกหว้ามีรสชาติที่เป็นเอกลักษณ์ และในปัจจุบันนี้มีไวน์สัปปะรดเพิ่มขึ้นมาอีกด้วย ไวน์สัปปะรดจะมีสีและรสชาติที่ออกไปทางไวน์ขาว จากการที่แอดมินได้ลองชิมนะคะ ไวน์กระเจี๊ยบจะมีรสชาติดื่มง่ายค่ะเหมาะกับผู้หญิงรสชาตินุ่มนวลและเบาบาง ส่วนไวน์ลูกหว้าจะมีรสชาติและรสสัมผัสที่หนักแน่นกว่าแอดมินเลยคิดว่าไวน์ลูกหว้าน่าจะเหมาะกับผู้ชายหรือคนไหนที่ชอบดื่มแบบเข้มๆค่ะ

ขอแนะนำเลยนะคะถ้ามาเที่ยวที่อำเภอเชียรใหญ่แล้วอย่าลืมแวะมาชิม แวะมาช็อป ซื้อกลับไปเป็นของฝาก สาย L คือพลาดไม่ได้เลยนะคะ แต่ถ้าหากไม่ดื่มไวน์ก็สามารถซื้อแยมกระเจี๊ยบแทนก็ได้นะคะ ผลิตภัณฑ์ของ Malong สามารถซื้อกลับไปฝากให้คนในครอบครัวได้ทั้งครอบครัว แยมกระเจี๊ยบสามารถทานได้ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ ส่วนไวน์ก็สามารถซื้อมาเป็นของฝาก ของที่ระลึก หรือซื้อมาดื่มฉลอง สังสรรค์กันได้อย่างมีความสุขเลยค่ะ

 

ตำนานพระธาตุเมืองนคร ฉบับจิตรกรรมศาลาประโชติศาสนกิจ

ตำนานพระธาตุเมืองนคร
ฉบับจิตรกรรมศาลาประโชติศาสนกิจ

 

ไม้คู่หนึ่งเกลียว ส่วนที่เหลือเป็นต้นเดี่ยวแบ่งฉาก

ว่าด้วยเรื่องทำพระธาตุ ที่ศรีธรรมราชมหานคร

.

วัดวังตะวันตก

วัดวังตะตก มีนานาเรื่องเล่าสำคัญเป็นของตัวเองอยู่ในมือ แต่เหตุใดไม่ร่ายเพิ่มเป็นตำนานประวัติศาสตร์ห้อยท้ายตำนานปรัมปราตามอย่างขนบการแต่งตำนานเหมือนสำนวนอื่นๆ ในท้องถิ่น เรื่องทำพระธาตุฉบับใดและเพราะเหตุใดที่จิตรกรเลือกใช้เป็นตัวแบบ สิ่งละอันพันละน้อยที่ปรากฎในภาพ แสดงสัญลักษณ์หรือเข้ารหัสความคิด-ความรู้ใดเอาไว้บ้าง

.

เหล่านี้ เป็นคำถาม

เพื่อกระตุ้นความสนใจส่วนตัว

.

ฟังว่าเป็นภาพวาดสีพาสเทลเมื่อราว 40 ปีก่อน ฝีมือครูอุดร มิตรรัญญา ได้ต้นเค้ามาจากคัมภีร์พระนิพพานโสตรไม่สำนวนใดก็สำนวนหนึ่ง ฉากต้นยกเมื่อถวายพระเพลิงพระพุทธสรีระขึ้นแสดง ฉากปลายทำรูปสองกษัตริย์ (พระเจ้าศรีธรรมาโศกราชกับพระเจ้าอู่ทอง) ปันแดนที่ไม้แกวก

.

ตำนานพระบรมธาตุ

ถ้าไม่นับบทละครตำนานพระบรมธาตุและเมืองนครศรีธรรมราช ฉบับพุทธศักราช 2513 บทประกอบการแสดงแสงเสียง เรื่อง ตำนานพระบรมธาตุ ประจำปี 2537 และบทพากษ์ประกอบแสง สี เสียง มินิไลท์ แอนด์ ซาวด์ ในห้วงทศวรรษ 2550 แล้ว จิตรกรรมชิ้นนี้ถือเป็น “ภาคแสดง” ของทั้งเรื่องราวและเรื่องเล่าที่ว่าด้วยการ “ทำพระธาตุ” ผ่านภาพวาดที่น่าศึกษา และสำหรับเรื่องนี้ คงเป็นหนึ่งเดียวในนครศรีธรรมราช จึงไม่พักจะพรรณนาว่าล้ำค่าสักปานใด

.

กราบอนุโมทนากับจิตรกรผู้ล่วงลับอย่างที่สุด เสียดายที่ไม่มีโอกาสได้สนทนา-สัมภาษณ์ จึงถือเป็นหน้าที่ส่วนที่เหลือของผู้ชมโดยสมบูรณ์ ตามว่า The Death of the Author (แต่อันนี้ Death จริงใช่เพียงแค่เปรียบเปรย)

.

ในฉากมีอะไรให้ตื่นตาอยู่มาก จึงละเสียมาสังเกตของกั้นฉากทั้ง 27 ที่ทำเป็นไม้ยืนต้น ยังดูไม่ค่อยออกว่าเป็นต้นอะไร ในหนังสือ “คัมภีร์พระนิพพานโสตร ตำนานแห่งพระธาตุเมืองนคร นานาของดีกลางเมืองนคร” ยกว่ามี สะตอ ทุเรียน ขนุน เป็นพื้น

.

ไม้คู่เกลียวหนึ่ง

สังเกตเห็นไม้คู่เกลียวหนึ่ง ในท่ามกลางของกั้นอื่นๆ ที่เป็นต้นเดี่ยวทั้งหมด ฉากซ้ายมือหนังสือนั้นว่าเป็น “ฉากที่ 6 พระนางเหมชาลา พระทนธกุมารขึ้นฝั่งที่หาดทรายแก้ว” ส่วนทางขวาเป็น “ฉากที่ 7 พระนางเหมชาลา พระทนธกุมารได้รับความช่วยเหลือจากเรือพ่อค้า”

.

หากไม้เกลียวคู่นี้ถูกเข้ารหัส

และมาแสดง ณ เหตุการณ์ที่สองกษัตริย์ขึ้นหาดทรายแก้ว

มีข้อพิจารณาใดที่พอจะถอดความได้บ้าง ?

.

ตั้งแต่ฉากแรกมาจนถึงฉากทางซ้ายของไม้คู่นี้ เป็นเรื่องเดียวกันกับที่มีกล่าวในมหาปรินิพพานสูตร แล้วมาต่อกับตำนานพระเขี้ยวแก้วหรือทาฐาวังสะฝ่ายลังกา ส่วนถัดแต่ฉากไม้คู่ไป ว่าด้วยเหตุการณ์เรือแตก ร่ายไปจนทำพระธาตุบนหาดทรายแก้ว แล้วตั้งนครศรีธรรมราชเป็นกรุงเมือง

.

ไม่เคยอ่านต้นฉบับตำนานพระเขี้ยวแก้วของลังกา ผ่านตาเฉพาะในหนังสือ “มหาธาตุ” ของ ดร.ธนกร กิตติกานต์ ที่สรุปไว้ในตอนที่เกี่ยวข้องนี้ว่า สองกษัตริย์ (พระเหมชาลากับพระทนธกุมาร) เดินทาง “นำพระเขี้ยวแก้วไปถวายแด่พระเจ้าสิริเมฆวรรณแห่งลังกา” ในนั้นปราศจากอนุภาค “เรือแตก”

.

“ไม้คู่” แบ่งฉากตรง “เรือแตก” นี้

ต้นหนึ่งจึงอาจสื่อว่าข้างซ้ายเป็นของรับปฏิบัติมา

อีกหนึ่งบอกว่าขวาคือของเราที่ขอเคล้าด้วย

อาการเกลียวนี้จึงกำลังบอกตำแหน่งเริ่ม “เกี่ยวพัน”

.

ตำแหน่งไม้คู่

จึงอาจเป็นความพยายามของจิตรกร

ที่จะแสดงให้เห็นว่า “ตำนาน” นี้ มีต้นทางมา

กับการแตกเรื่องออกไปเป็นของท้องถิ่น

ทำนอง Oicotypification

เพื่อสร้างและอธิบายความหมาย

ขององค์พระบรมธาตุเจดีย์

(ในที่นี้จะยังไม่ขอกล่าวเพิ่ม)

.

เรื่องหาด “ทรายแก้ว” นี้ก็น่าสนใจ เพราะเพิ่งรู้ว่าแปลมาจาก “รุวันเวลิ” ชื่อเรียกมหาสถูปแห่งเมืองอนุราธปุระฯ

 

กาแฟปูนา ผลิตภัณฑ์ขึ้นชื่อ ตำบลตรอกแค อำเภอชะอวด

กาแฟปูนา เป็นกาแฟแบบไหน พอจะเดาออกกันมั้ยค่ะ ? จะเป็นนั่งดื่มกาแฟชมทุ่งนา ชมปูนา หรือกาแฟขี้ปูนาอารมณ์คล้ายๆกาแฟขี้ชะมด แล้วปูนาจะมาอยู่ในกาแฟได้อย่างไร? แล้วมันจะรสชาติอย่างไร? จะคาวหรือเปล่า?

วันนี้มาหาคำตอบของคำถามพวกนี้ไปพร้อมๆกันแอดมินนะคะ ถ้าพร้อมแล้วก็มาอ่านเรื่องราวของกาแฟปูนากันนะคะ

คุณสนั่น เจ้าของตลาดใต้ต้นปาล์มริมคลองตรอกแค เล่าให้ฟังว่า ในสมัยก่อนพื้นที่ตรงนี้เป็นพื้นที่รกร้างของครอบครัว ถูกละทิ้งไว้หลายปี จนคุณสนั่นมีแนวคิดที่จะปรับปรุงและเปลี่ยนแปลงพื้นที่ตรงนี้ ปรับเปลี่ยนให้กลายเป็นแหล่งเรื่องรู้ในการนำผลิตภัณฑ์ที่เหลือใช้มาทำให้เกิดประโยชน์และสร้างรายได้ และมีโฮมสเตย์ที่เน้นธรรมชาติ

 

กาแฟปูนาเกิดจาก คุณสนั่นได้เข้าไปศึกษาเรียนรู้เกี่ยวกับวิถีชีวิตของชาวบ้านในบริเวณบ้านตรอกแค ได้พบว่าชาวบ้านจะนำไซไปวางตามท้องนา คูนา จะมีปูมีปลาติดมาตามไซ แต่ชาวบ้านต้องการแค่ปลาไม่ได้ต้องการปูนา คุณสนั่นเลยเกิดข้อสังสัยว่าแล้วชาวบ้านจะทำอย่างไรกับปูนาที่ติดด้วย ชาวบ้านได้บอกกับคุณสนั่นว่าปูนาที่ติดมากับไซจำเป็นต้องทิ้งเพราะไม่สามารถนำไปจำหน่ายได้

คุณสนั่นจึงขอปูนามาคิดวิธีแปรรูปปูนาเพื่อไม่ให้สูญเสียทรัพยากรธรรมชาติไปอย่างเสียประโยชน์ ช่วงแรกๆได้นำปูนามาแปรรูปเป็นน้ำพริกผงปูนาชนิดแห้งแบบซองสามารถพกพาได้ ส่วนต่อมาคุณสนั่นได้คิดค้นการแปรรูปเป็นกาแฟสดสูตรปูนา เป็นกาแฟสดที่มีส่วนผสมของปูนา 100% ไม่มีสารเคมีในการผลิต คุณภาพและรสชาติได้มาตราฐานอย่างแน่นอน คุณสนั่นฝากแอดมินมาการันตีค่ะ

 

จากที่แอดมินได้ลองชิมกาแฟปูนาแล้วนะคะ สิ่งที่เด่นขึ้นมาเลยจนแอดมินตกใจคือกลิ่นของกาแฟที่หอมมาก ไม่มีกลิ่นคาวของปูนา เป็นสิ่งที่น่าแปลกใจมากนะคะที่กาแฟไม่มีกลิ่นคาวของปูนา และรสชาติของกาแฟกับปูนาก็เข้ากันดี

ส่วนวิธีการทำนั้นปูจะต้องเป็นปูที่ออกไข่มาแล้วสี่รอบ โดยจะจับปูมาพักเพื่อล้างท้องก่อน 5 วัน จากนั้นให้ทานข้าวสวย 5 วัน และจากนั้นจึงนำไปทำความสะอาด และเอาส่วนที่ไม่ใช้ออก จากนั้นก็นำไปทำให้สุกแล้วนำมาคั่วกับเมล็ดกาแฟ จะมีทั้งแบบคั่วเข้มและคั่วกลาง

  ผลิตภัณฑ์กาแฟปูนา
  • แบบแก้วพร้อมดื่ม ราคา 40 บาท 
  • แบบซองสำหรับดริป 35 บาท
  • แบบถุง 200 กรัม 200 บาท

  • สบู่กาแฟปูนา ก้อนละ 35 บาท

 

และภายในตลาดใต้ต้นปาล์มริมคลองตรอกแคนี้ ยังมีโฮมสเตย์ที่สามารถเข้ามาพักเพื่อซึมซับบรรยากาศที่เป็นธรรมชาติได้อีกด้วยนะคะ

ภายในจะมีร้านกาแฟปูนา สัตว์ต่างๆที่ทางคุณสนั่นเลี้ยงไว้ มีทั้งกวาง ปู ปลา ไก่และเต่า เดินชมสัตว์ภายในบริเวณตลาดใต้ต้นปาล์มไปพร้อมกับบรรยากาศดีๆ และมีของสะสมของเก่าที่คุณสนั่นนำมาเก็บไว้สะสมให้ผู้ที่เข้ามาเยี่ยมชมได้ชมกันด้วยนะคะ

พอได้มาเห็นของเล่นโบราณและของเก่าๆก็นึกถึงสมัยยังเป็นเด็กเลยค่ะ แอดมินของบอกเลยค่ะว่าตลาดใต้ต้นปาล์มริมคลองตรอกแคและกาแฟปูนาเป็นสิ่งที่ทุกคนห้ามพลาดนะเมื่อมาเที่ยวที่อำเภอชะอวดแล้ว แวะชิมชมช้อป ซื้อกลับไปเป็นของฝากกันนะคะ

 

และอย่าลืมเล่าเรื่องราวของกาแฟปูนาให้คนที่เราซื้อของไปฝากได้ฟังด้วยนะคะ รับรองว่ารสชาติของกาแฟจะอร่อยมากขึ้นอีกเท่าตัวเลยค่ะ เมื่อรู้ถึงเรื่องราวของกาแฟปูนา

ชมคลิป VDO

สาวชุม-หนุ่มสุวรรณ ตำนานรักพระลากเมืองนคร

สาวชุม-หนุ่มสุวรรณ
ตำนานรักพระลากเมืองนคร

 

บ้านนาพรุ

ในครั้งเมื่ออดีตกาล บ้านนาพรุ มีเศรษฐีคนหนึ่งที่มั่งคั่ง ร่ำรวยเป็นอย่างมาก ชาวบ้านจึงขนานนามกันว่า “เศรษฐีบ้านพรุ” ท่านกับภรรยามีบุตรสาวที่รักปานแก้วตาดวงใจ มีนามว่า “ชุม” สาวชุม จึงเป็นที่ หมายปองของชายหนุ่มทั้งหลายโดยรอบบริเวณนั้นรวมถึง “หนุ่มสุวรรณ” บุตรชายของเศรษฐีบ้านท้ายสำเภา  ผู้มีฐานะทัดเทียมกับเศรษฐีบ้านนาพรุ หนุ่มสุวรรณได้เจอกับสาวชุมครั้งแรก  ก็ได้หลงรัก และ   มีใจให้สาวชุม วันเวลาผ่านไปหลังจากนั้นทั้งสองก็รักกัน ด้วยความรักที่มีให้หนุ่มสุวรรณกับสาวชุมจึงได้ตกลงคบหากัน โดยเป็นที่ทราบกันของเศรษฐีทั้งสองฝ่าย ด้วยความรักที่มีให้กันเป็นเวลานาน  หนุ่มสุวรรณ จึงบอกกับบิดา มารดาว่า จะขอหมั้นหมายแต่งงานกับสาวชุมลูกเศรษฐีนาพรุ  ทางฝ่ายสาวชุมเมื่อทราบข่าว ถึงวันที่หนุ่มสุวรรณจะมาขอหมั้นหมายแต่งงานกับลูกสาว อันเป็นที่รัก ก็ได้ตอนรับเป็นอย่างดี  ด้วยเหตุที่ว่าหนุ่มสุวรรณเป็นคนดี มีคุณธรรมนำชีวิต เศรษฐีนาพรุ บิดา มารดา ของสาวชุมจึงตกลงกันยกสาวชุมเป็นคู่หมั้น หนุ่มสุวรรณ ก่อนแต่งงานสมรส

.

ไข้น้ำระบาด

หลังจากนั้นวันเวลาผ่านไปไม่นาน ได้เกิดโรคระบาดอย่างหนัก “ ไข้น้ำ ” หรือ ไข้ทรพิษ ขึ้นในแถบบ้านนาพรุและบริเวณใกล้เคียง ปรากฏว่าสาวชุม ได้ล้มป่วยลงด้วยโรคระบาด จนสุดความสามารถ ที่หมอทั้งหลาย จะพยายาม เยียวยารักษาให้หายได้ แต่ในความทุกข์  ของสาวชุมนั้น  หนุ่มสุวรรณ ซึ่งเป็นคนรัก ก็ยังคงเคียงข้าง ไม่ทิ้งไปไหน ไม่รังเกลียดคนรัก   แม้คนรักจะมีแผลอันน่าเกลียด มีร่างกายที่ซีดผอมจากพิษของโรคร้าย หนุ่มสุวรรณก็ดูแลเคียงค้างจนวินาทีลมหายใจสุดท้ายที่สาวชุม ซึ่งเป็นคนที่รักมาก ของตัวเองจากไป  จนทำให้หนุ่มสุวรรณนั้นเกิดความเสียใจ  ซึมเศร้า เป็นอย่างมาก เพราะรักแท้ที่มีให้กับสาวชุม หนุ่มสุวรรณจึงตรอมใจลง จนร่างกายป่วยไข้   และสิ้นชีพตามสาวชุมคนรักในเวลาแค่ไม่กี่วัน

.

สาวชุม หนุ่มสุวรรณ

การจากไปของชายหนุ่ม และ หญิงสาว คู่นี้ ได้สร้างความเสียใจแก่บิดา มารดาทั้งสองฝ่ายเป็นอย่างมาก เศรษฐีนาพรุกับเศรษฐีท้ายสำเภา จึงยกที่ดินส่วนหนึ่งสร้างวัด และให้นายช่างหล่อพระลากกลุ่มหนึ่ง มาสร้างพระพุทธรูป เพื่ออุทิศบุญกุศลให้บุตรธิดาทั้งสอง โดยได้หล่อพระพุทธรูปปางอุ้มบาตร พระเกศรัศมียอดเปลวเพลิงไว้องค์หนึ่ง แต้มปาก ทาเล็บทั้งหมดให้เป็นสีแดง เพื่อเป็นพระพุทธรูปแทนตนของ “ สาวชุม ” บุตรสาวเศรษฐีบ้านนาพรุ และได้สร้างพระพุทธรูปปางอุ้มบาตรอีกองค์หนึ่ง ทรงเครื่อง เพื่อให้เป็นพระพุทธรูปแทนตัวของ “หนุ่มสุวรรณ” เมื่อช่างหล่อพระได้ขัดสีตบแต่งเรียบร้อยแล้วเศรษฐีทั้งสองก็ได้นิมนต์ พระภิกษุมารับถวายพระพุทธรูป พร้อมกับอุทิศผลานิสงส์ให้ไปถึงสาวชุม และ หนุ่มสุวรรณ บุตรธิดาผู้วายชนม์

.

พระแม่ชุม

ภายหลังจากทำพิธีอุทิศพลานิสงส์ พระลาก พระพุทธรูปปางอุ้มบาตร ที่เศรษฐีนาพรุ ได้สร้างถวายวัดนั้น  ได้เกิดปาฏิหาริย์ขึ้น ในตอนนั้นต่อหน้าผู้คนเป็นจำนวนมาก ที่พระพุทธรูป มีพุทธลักษณะเป็นตำหนิ เหมือนรอยแผลเป็นก่อนที่สาวชุม  จะเสียชีวิต เศรษฐี และชาวบ้านทุกคนที่อยู่ตรงนั้นต่างตกตลึง เมื่อเห็นพระพุทธรูป  มีพุทธลักษณะ เหมือนสาวชุม ด้วยความศรัทธาของชาวบ้านนาพรุ-บ้านท่าช้าง-บ้านท้ายสำเภา หลังจากนั้นชาวบ้านจึงเรียกพระลากองค์นี้ว่า แม่ชุม หรือ พระแม่ชุม

.

พระลากแม่ชุมวัดท่าช้าง อยู่คู่กับชาวนาพรุ-ท่าช้าง เป็นเวลายาวนาน มีการเชิญลงมาสรงน้ำในช่วงเทศกาลวันสงกรานต์ และ ในช่วงเทศกาลออกพรรษาของทุกปี พระลากแม่ชุมได้รับความศรัทธา นับถือ จากผู้คนในย่านอำเภอพระพรหม ว่ามีความศักดิ์สิทธิ์ใน

.

ด้านความรัก = ถ้าใครได้มากราบไหว้บูชา จะสมหวังในความรักที่มั่นคง มีศุภผลดลบันดาลให้ครอบครัวอยู่เย็นเป็นสุข คนที่เป็นโสดอยู่ ก็จะมาบูชาเพื่อหาเนื้อคู่ที่ดี เหมาะกับตน เนื่องจากพระพุทธรูปองค์นี้ เป็นตัวแทนแม่ชุม-พ่อสุวรรณ ที่ทั้งสองมีรักแท้ ไม่ทอดทิ้งกัน จนวันตายจาก ก็ต้องไปด้วยกัน

.

ด้านค้าขาย = พ่อค้า แม่ขาย ก็จะนิยมมาสักการะพระแม่ชุม เนื่องจากเชื่อว่า พระแม่ชุมเป็นบุตรีของเศรษฐี จึงมีความนิยมว่า ถ้าขอพรพระแม่ชุมแล้ว จะทำมาค้าขาย อะไรก็ดี และมีความมั่งคั่งมีอัตภาพความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น

.

ด้านเมตตา = ชาวบ้านจะมาบนบาน ขอให้พระแม่ชุมช่วยในด้านต่าง ๆ เช่น ขอโชคลาภ ขอให้สำเร็จในการงาน  ขอให้สอบผ่าน  ขอให้มีงานทำ ขอให้ของที่หาย ได้กลับคืนมา

.

ดังนั้นพระแม่ชุม แห่งวัดท่าช้าง จึงมีผู้ศรัทธาเข้ามาสักการะอยู่บ่อย ๆ เพราะเหมาะกับการบูชา แก่ผู้ที่ต้องการแสวงหาความมั่นคงในความรัก ผู้ที่ประกอบอาชีพค้าขาย รวมถึงผู้ที่ต้องการความอบอุ่นในครอบครัวให้บังเกิดผลประสบความสำเร็จดั่งปรารถนา เมื่อชีวิตส่วนตัว และชีวิตในหน้าที่การงานสมบูรณ์พร้อม ความสุขที่ยั่งยืนก็พร้อมที่จะบังเกิดขึ้น เป็นความสุขที่ยิ่งใหญ่ที่ ปุถุชนพึงควรมี เพื่อจะก้าวหน้าไปทั้งทางโลก และ ทางธรรม ดั่งพระแม่ชุม วัดท่าช้าง และ พระพุทธเศรษฐีศรีสุวรรณ วัดท้ายสำเภา ซึ่งเป็นตำนาน พระลากคู่รัก เมืองนคร ที่อยู่คู่วัด คู่บ้าน คู่เมือง เสมอมา ถึงแม้ว่าจะอยู่คนละวัด แต่ดวงจิตที่ยังคงมั่นในรัก และผูกพัน ก็คงยังอยู่คู่กัน ให้เป็นที่กล่าวขวัญเป็นที่สักการบูชา ของลูกหลานชาวพระพรหมเป็นเวลาหลายร้อยปี สืบไป

ภาพและข้อมูลจาก Facebook : วัดท่าช้าง นครศรีธรรมราช

ภาษาช้างกลาง ความหมายและคุณค่าของท้องถิ่นนครศรีธรรมราช

ภาษาช้างกลาง
ความหมายและคุณค่า
ของท้องถิ่นนครศรีธรรมราช

โดย วรรณดี สรรพจิต

ภาษาเป็นวัฒนธรรมอย่างหนึ่งที่แสดงอัตลักษณ์ของคนแต่ละท้องถิ่น ซึ่งใช้แตกต่างกันไป บางคำใช้พูดเป็นสื่อให้เข้าใจกันระหว่างหมู่คณะ บางคำใช้พูดและเข้าใจกันเฉพาะในถิ่นหนึ่ง ๆ เท่านั้น สำเนียงใต้ของชาวช้างกลางก็ไม่ได้แตกต่างไปจากสำเนียงใต้ของคนอำเภออื่นในจังหวัดนครศรีธรรมราชเท่าใดนัก แต่ก็ถือได้ว่าอำเภอช้างกลางร่ำรวยทางภาษามาก ทั้งนี้เพราะในอดีตมีชนต่างชาติซึ่งส่วนมากเป็นคนจีนได้เข้ามาค้าขายทางน้ำ ได้นำภาษาจีนและมะลายูเข้ามาด้วย ประกอบกับในช่วงต่อมามีชาวปากพนัง หัวไทร เชียรใหญ่ย้ายถิ่นมาอยู่ร่วมมากที่สุด ได้นำเอาสำเนียงภาษาในถิ่นเดิมมาใช้ผสมกับสำเนียงของคนในถิ่น และที่สำคัญยังได้สมรสกันระหว่างคนต่างถิ่นด้วย ก่อให้เกิดภาษาที่เป็นเอกลักษณ์ชองชาวช้างกลางโดยเฉพาะ ดังจะยกตัวอย่าง
.

คำที่แปลว่า “ตาย”

คำนี้ท้องถิ่นอื่นมีไม่มาก แต่ที่อำเภอช้างกลางมีมากมายได้แก่ “พลิกอีตุก, พลิกตุก, เพล้ง, แพล็ด,ปัดซิเหนียงเกียงกล้อง,ม่องเท่ง,ดับเกียง,เหมี่ยง, ปับปะชิค๊อง, พระยิ้ม (มักใช้พูดล้อเลียนกับคนที่ไม่ควรขึ้นต้นไม้ เช่น คนชราว่า เดี๋ยวตกลงมาพระยิ้มแหละ นั่นหมายถึงตายพระได้สวด)
.

คำที่แปลว่า “หมด”

พวกเราพูดกันหลายคำ เช่นว่า แหม็ด, เกลี้ยงแผ็ก, แวววับ แหม็ดฉ๊าดคือหมดไม่เหลือ
.

คำที่หมายถึง ยุยง, แหย่, แยง,แทง, ทิ่ม, ยุให้รำตำให้รั่ว พูดให้สองฝ่ายทะเลาะกัน

คนช้างกลางพูดคำเดียวว่า “ยอน” เช่นประโยคว่า “แกอย่ายอนให้เขาแตกกัน” นั่นหมายความว่า อย่ายุยง แต่ถ้าพูดว่า “วันนี้ไปยอนบึ้ง” หมายถึงว่า ไปแยงในรูของตัวบึ้งเพื่อดึงไข่บึ้งมากิน (บึ้งคือแมงมุมชนิดหนึ่งที่ชื่อ ทารันทูล่า ภาษาไทยเรียกว่า บึ้ง ตัวโตมาก เป็นสัตว์มีพิษ แต่ไม่ร้ายแรงนัก ยกเว้นคนแพ้พิษมีมากในอำเภอช้างกลาง )

.

คำที่หมายถึง “สวยมาก”

เช่น “เฉ้งวับ สวยเฉ้ง”
.

คำนามที่ไม่ค่อยมีพูดในท้องถิ่นอื่น เช่น

“นายหมรูน” (อ่านว่า หมฺรูน)
คือคนที่ขึ้นไปตีผึ้งบนต้นไม้ หรือหน้าผา เรียกว่า นายหมรูน
.

“ม็อง”

คือคบเพลิงที่ทำด้วยต้นลังตังช้าง(ตะรังตังช้างเป็นภาษามลายู) สำหรับใช้ควันไล่ตัวผึ้งออกจากรัง
.

“โคร๊ะ”

คือภาชนะใส่รังผึ้ง
.

“ไม้ตรี”

คือไม้กวาดตัวผึ้งและใช้สำหรับแซะรังผึ้ง
.

“ชะนั่งได้”

คือเครื่องมือดักปลาที่ด้านในมีเงี่ยงดัก ปลาเข้าแล้วออกไม่ได้
.

“หนะหวายพวน”

คือส่วนที่เป็นหนามยาวของหวายพวน บางเส้นยาวถึง ๒ เมตร เป็นหนามแหลมทวนทางปลาย ถ้าแหย่เข้าไป เวลาดึงออกตัว “หนะหวาย” จะกระชากสิ่งกีดขวางขาดกระจุยได้ หวายพวนเป็นหวายป่าขนาดใหญ่และยาวมาก ในเพลงยาวเรื่องโองการขับผีของนายเอียด สันตจิต ใช้ “หนะหวายพวนขับผี” ตอนหนึ่งว่า “….กูจะคุ้ย กูจะควัก กูจะชักเอาหัวใจ แล้วเอาหนะหวายพวนเส้นใหญ่ยอนเข้าไปในปาก กูจะชากเอาลิ้น กูจะกินเอาตับ กูจะสับเอาฟัน….”
.

“เหล็กดอกบอน”

คือเครื่องมือเจาะฝีมือภูมิปัญญาท้องถิ่น
.

“ขวานถาจีน”

ขวานของพวกคนจีนที่ใช้สับกระดูกชิ้นใหญ่ของวัว ควาย หมูที่แล่เนื้อแล้ว
.

“เอ็นหมายุก”

คือเอ็นร้อยหวาย หลังข้อเท้า
.

“เฌอ”

ภาชนะใส่ของหนัก
.

“แสก”

คือ สาแหรกที่ทำจากหวาย มี ๔ สาย ด้านบนรวบปลายหวายเป็นหูสำหรับสอดไม้คาน ด้านล่างขัดกันเป็นสี่เหลี่ยมสำหรับวางกระจาด มี ๒ ชุด เพื่อให้สมดุลย์เวลาหาบหาม
.

“ม่า”

ภาชนะใช้ตักน้ำจากบ่อซึ่งทำด้วยกาบหมาก มาจากคำว่า “ทิม่า”ในภาษามลายู เดี๋ยวนี้ไม่มีให้เห็นแล้ว
.

“ตูด”

เครื่องมือเป่าที่ทำด้วยเขาควาย ใช้สำหรับเป่าเป็นสัญญาณบอกเวลา หรือเหตุการณ์ต่าง ๆบ่งหมายให้มาร่วมประชุม เวลาเป่าจะออกเสียง ปูด ๆ ดังกังวานออกไปไกล
.

“ครกบด”

เครื่องมือสำหรับโม่แป้ง ทำด้วยหินหรือปูนซีเมนต์ รูปทรงกลม ฐานข้างมีรางโดยรอบ ฝาบนเจาะเป็นรูใส่ไม้แขนไว้เพื่อใช้จับขณะบด ครกบดโดยทั่วไปมีขนาด ฐานครกประมาณ ๑.๕ – ๕.๕ ฟุต
.

“ลูกประ”

หรือลูกกระเกิดจากไม้ประ นำมาแปรรูปเป็นลูกประดอง ลูกประคั่ว เคยลูกประ มีมากที่เทือกเขาเหมน เขาหลวง รสออกหวานมันอร่อยลิ้น
.

“ไม้ตราด”

คือไม้กวาดที่ทำจากไม้ไผ่แก่จัด ตัดยาว ๒ เมตร ด้านโคนผ่าเป็นซีกเล็ก ๆ แล้วกรองด้วยหวาย ใช้สำหรับกวาดใบไม้ ใบหญ้า
.

“กุนหยี” คือดอกบานมิรู้โรย มาจากภาษามะลายูในคำว่า “เบอระกุนี”

ส่วนคำนามที่มาจากภาษาจีนก็มี โกปี้ เล่าเต้ง โอยั๊วะ ฯลฯ ที่มาจากภาษามลายู ได้แก่ ลังตัง ภาษามลายูว่า “ตะรังตัง” มี ๓ ชนิด คือลังตังไก่ ลังตังกวาง ลังตังช้าง
.

“มะม่วงหิมพานต์”

ที่นี่พูดได้หลายคำ เช่นว่า เม็ดท้ายล่อ, ย่าหมู,ย่าโห้ย, ยาร่วง,เม็ดม่องล่อ
.
ส่วนที่มาจากภาษาเขมร ก็มี เช่นชื่อปี ชวด ฉลู ขาล เถาะ มะโรง มะเส็ง มะเมีย มะแม วอก กา จอ กุน ชาวช้างกลางเรียกชื่อ ชวด หลู ขาล โถง โรง สิง เมีย แม วอก กา จอ กุน
.
คำกริยาที่ใช้พูดเฉพาะในถิ่น ตัวอย่างได้แก่

“สีน”

คือ ตัด หรือ หั่น เป็นชิ้น เช่นประโยคว่า “กูจะสีนด้วยมีดโต้” หรือบทโนราโกลนที่ว่า “ นั่ง ๆ ผันหน้าไปปลากออก แกงคั่วรอกสับให้เนียน ตัดตีนสีนเศียรผ่าหลอดท้าย เอาใส้โยน”
.

“กาศ”

คำกล่าวประกาศ อัญเชิญสิ่งศักดิ์สิทธิ์
.

“แหม็ด”

คือ กด หรือหยิก เช่น “ฉันจะแหม็ดแกให้เจ็บจนตาย”
.

“แหม๊ด”

หมดเกลี้ยงไม่เหลือ เช่น “แกงนี้หรอยเกินกินจนแหม๊ดฉาด”
.

“ขบ”

กัด
.

“สี”

ทา หรือขยี้
.

“ชังกั้ง”

คำพูดแผลง ๆ เรียกว่าพูดชังกั้ง
.

“ล้มยักหาย”

คือล้มหงายหลัง
.

“น้ำพ่ะ”

ฝนตกติดต่อกันนาน ๆ จนน้ำนองตลิ่ง เรียกว่า “น้ำพ่ะ” คำนี้มาเพี้ยนมาจากภาษามลายูว่า ““เบอรฺพะ”
.
คำพูดแสดงคุณลักษณะ เรามักใช้คำพูดของชาวกะเหรี่ยงเข้าประกอบ เช่น

“จั๊วะ”

ขาว เรามักพูดว่าขาวจั๊วะ คำว่าจั๊วะ เป็นภาษากะเหรี่ยง
.

“ปื๊ด”

ดำ คือดำปื๊ด
.

“แจ๊ด”

แดง
.

“จ๋อย”

คือสี เหลือง
.

“ปื๋อ”

คือสีเขียว
.

“ปี๋”

คือเค็ม ถ้าพูดว่าเค็มปี๋ หมายถึงเค็มมาก
ห้าคำนี้ที่จริงเป็นภาษากะเหรี่ยง ใช้พูดกันทุกภาค ชาวช้างกลางนำมาใช้พูดด้วย เพื่อเป็นการเน้นในลักษณะนั้น ๆ เช่น แดงแจ๊ด เหลืองจ๋อย เค็มปี๋ฯลฯ เป็นต้น
.
นอกจากตัวอย่างที่ยกมาแสดงนี้แล้ว
ยังมีคำอื่น ๆ อีกมากมายที่ใช้พูด
ซึ่งสามารถประมวลเป็นพจนานุกรมภาษาถิ่นช้างกลางได้

กล้วยไข่กรอบแก้ว ของดี ของฝาก ผลิตภัณฑ์ขึ้นชื่อ ต.เกาะขันธ์ อ.ชะอวด จ.นครศรีธรรมราช

กล้วยไข่กรอบ ใครไม่มานครฯแล้วไม่ได้ลองชิมลองทานถือว่าพลาดอย่างแรง !!

หากกล่าวถึง อ.ชะอวด จ.นครศรีธรรมราช หลายๆ อาจจะคิดถึง กระเป๋ากระจูด ซึ่งเป็นสินค้างานหัตกรรม สร้างอาชีพ ทำเงินให้กับชุมชนมากมายทว่า อ.ชะอวด ไม่ได้มีของดีเฉพาะผลิตภัณฑ์จากกระจูดเท่านั้น เพราะที่ ต.เกาะชันธ์ อ.ชะอวด ยังมีของดี ที่อยากเชิญชวนทุกท่านมาลองชิมลองทานกัน เรียกว่า ผู้ใหญ่ทานได้ เด็กทานดี มีประโยชน์ ซื้อกินเองก็อร่อย ซื้อเป็นของฝาก ก็โดนใจคนรับแน่นอน

 

ความเป็นมา กล้วยกรอบไข่แก้ว บ้านเกาะร้าว

คุณป้า กุศล สุกใส หรือ ป้าน้อย ประธานกลุ่มกล้วยไข่กรอบแก้วบ้านเกาะร้าว ได้เล่าถึงเรื่องราวความเป็นมาของกลุ่มกล้วยไข่กรอบแก้วบ้านเกาะร้าว เดิมก่อนที่จะเกิดเป็นกลุ่มกล้วยไข่กรอบแก้วบ้านเกาะร้าว เป็นกลุ่ม 60 พรรษามหาราชินี โดยเริ่มตั้งแต่ปี พ.ศ.2536  และเมื่อปี พ.ศ.2542 ได้เกิดเหตุการณ์ฟองสบู่แตก ทางวิสาหกิจชุมชนจึงได้มีการแจ้งให้มีการจัดตั้งกลุ่มขึ้น

ในครั้งนั้นได้จัดตั้งกลุ่มถั่วเคลือบน้ำตาลแต่เนื่องด้วยขาดวัตถุดิบในการผลิตสินค้าจึงไม่สามารถดำเนินการต่อไปได้  ต่อมาในปี พ.ศ.2542 มีสมาชิกกลุ่มทั้งหมด 20 คน ทางวิสาหกิจชุมชมจึงปรับเปลี่ยนมาทำผลิตภัณฑ์ที่ทำมาจากกล้วย เพราะเห็นว่าในหมู่บ้านทุกบ้านจะมีต้นกล้วย เลยเริ่มผลิตกล้วยฉาบ โดยได้ไปศึกษาดูงานจากกล้วยฉาบแม่แดง จังหวัดพัทลุง  นำมาปรับเปลี่ยนพัฒนาสูตรเป็นสูตรเฉพาะของกลุ่มกล้วยไข่กรอบแก้ว จากที่ใช้กล้วยน้ำหว้าในการทำกล้วยฉาบเลยเปลี่ยนมาใช้กล้วยไข่แทน และได้ขอ สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) และมาตรฐานผลิตภัณฑ์ชุมชน (มผช.) อย่างถูกต้องและในปัจจุบันมีสมาชิกกลุ่มทั้งหมด 60 คน

รางวัล และผลงาน กล้วยกรอบไข่แก้ว บ้านเกาะร้าว

  • ในปี พ.ศ.2544 ได้รับรางวัลกลุ่มแม่บ้านเกษตรกรดีเด่นอันดับ 2 ของจังหวัดนครศรีธรรมราช
  • ปีพ.ศ.2545 และ ปีพ.ศ. 2562 ได้รางวัลกลุ่มแม่บ้านเกษตรกรดีเด่นอันดับ 1 ของจังหวัดนครศรีธรรมราช
  • ส่วนปัจจุบันในปี พ.ศ. 2564 ก็ได้รับรางวัลกลุ่มแม่บ้านเกษตรกรดีเด่นอันดับ 2 ของจังหวัดนครศรีธรรมราช
  • อีกหลายหลากรางวัล ที่เป็นเครื่องการันตี ทั้งความสด อร่อย และสะอาด

ขั้นตอนการผลิต กล้วยกรอบไข่แก้ว บ้านเกาะร้าว

ขั้นตอนที่ 1 จะเริ่มจากการปอกเปลือกกล้วยและนำมาล้างน้ำ หลังจากนั้นตั้งให้กล้วยสะเด็ดน้ำจนแห้ง

ขั้นตอนที่ 2 เมื่อกล้วยแห้งดีแล้วจึงนำมาสไลซ์เป็นแผ่นบางๆ ลงในกระทะ

ขั้นตอนที่ 3 ทอดกล้วยในกระทะ คนให้เข้ากันจนสุกทั่วทุกแผ่น

ขั้นตอนที่ 4 ตักกล้วยที่ทอดสุกแล้วขึ้นมาจุ่มน้ำตาล เมื่อจุ่มเสร็จก็นำไปทอดอีกครั้ง (หากกล้วยฉาบรสชาติปกติหรือรสชาติจืด ไม่ต้องนำกล้วยไปจุ่มน้ำตาล สามารถทอดจนสุกและทำตามขั้นตอนต่อไปได้เลย)

ขั้นตอนที่5 ตักกล้วยที่ทอดจนสุกแล้วขึ้นมาตั้งและพักไว้ให้เย็น หลังจากนั้นนำมาแพ๊คใส่ถุง เป็นอันเสร็จขั้นตอนการทำกล้วยไข่กรอบแก้ว

 

เห็นวิธีการทำกันแล้วเริ่มน้ำลายไหลกันแล้วใช่ไหมคะ ขนาดแอดมินได้ชิมกล้วยไข่ฉาบของคุณป้า ก็ยังติดใจจนต้องซื้อกลับมากินเพิ่มเลยค่ะ กล้วยไข่ฉาบสไลซ์แผ่นพอดีคำ น้ำตาลที่เคลือบอยู่มีรสชาติที่พอดีไม่หวานมาก บวกกับความมันของกล้วยไข่ กัดชิมคำแรกคือทั้งกรอบและรสชาติดี กินเพลินกินมันส์จนหยุดไม่อยู่เลย นึกงถึงภาพนั่งทำงาน นั่งเรียนออนไลน์ ดูซีรี่ย์ แล้วหยิบกล้วยไข่กรอบแก้ว เข้าปากไป ซิลเลย

กล้วยไข่กรอบแล้วมีให้เลือกหลายรสตามความชอบ ไม่ว่าจะเป็นรสดั้งเดิม รสหวาน รสเค็ม รสปาปริก้า ราคาของกล้วยไข่กรอบแก้วก็ไม่ได้แพงเลยนะคะ มีทั้ง ขนาดถุงเล็ก 20 บาท ขนาดถุงกลาง 60 บาท และขนาด 1 กิโลกรัมราคา 120 บาท เหมาะมากๆ เลยค่ะ สำหรับจะซื้อไปเป็นของฝาก หรือหากใครชอบเผือก ที่นี่เขาก็มีเผือกกรอบแก้วให้ได้ลอง รับรองถูกใจสายเผือกเช่นกันอย่างแน่นอนจ้า

 

คุณป้ายังฝากมาบอกอีกนะคะว่า ถ้าทุกท่านมีโอกาสได้มาเที่ยวที่อำเภอชะอวด เชิญชวนแวะมาซื้อกล้วยไข่กรอบแก้วไปเป็นของฝากกันเยอะๆนะคะ คุณป้าใจดีมาก มีแถมกล้วยไข่กรอบแก้วไปให้กับทุกท่านทุกออเดอร์ แบบว่าคุ้มค่าแน่นอนค่ะ

แวะอุดหนุน กล้วยกรอบไข่แก้ว บ้านเกาะร้าวแล้วแนะนำมานั่งทานกันต่อที่ อ่างเก็บน้ำห้วยน้ำใส

อีกหนึ่งสิ่งที่ไม่อยากให้ทุกท่านพลาดถ้าหากได้มาเที่ยวอำเภอชะอวด นั่นก็คือเข้าไปเที่ยว นั่งกินลมชมวิวพระอาทิตย์ตกที่อ่างเก็บน้ำห้วยน้ำใส อ่างเก็บน้ำห้วยน้ำใสมีวิวและทัศนียภาพที่สวยงามมากนะคะ โอบล้อมไปด้วยขุนเขา มีจุดที่ทุกท่านสามารถจอดรถไปนั่งปิกนิกนำอาหารและเครื่องดื่มไปนั่งทานได้ หรือจะนำกล้วยไข่กรอบแก้วไปนั่งทานไปพร้อมๆกับการชมวิว รับรองเลยค่ะว่าทุกท่านจะได้รับทั้งความอิ่มกายและอิ่มใจไปพร้อมๆกันแน่นอน อย่าลืมแวะมา ชม ชิม ช้อปกันที่อำเภอชะอวดกันเยอะๆนะคะ

ประตูผีเมืองนคร เรื่องเล่าจากปากคำยายจัน

ประตูผีเมืองนคร
เรื่องเล่าจากปากคำยายจัน

ถ้าเป็นอย่างยายจันว่า
ตรงหรือไม่ไกลจากในภาพปกนี้นี่แหละ คงคือ “ประตูผี”
.
ราว 10 ปีก่อน มุมพายัพของทางสี่แพร่งนี้ (แยกถนนพระอิศวรตัดถนนศรีธรรมราช) เป็นเพียงเพิงอย่างกำมะลอ ยายจันใช้สอยร่มหลังคาเป็นร้านขายหนมจีน หนมหวาน และข้าวราดแกงที่มีให้เลือกไม่กี่หม้อ
.
บทสนทนาของเราเริ่มขึ้นหลังจากแกแน่ใจแล้วว่าผมมีความสนใจบางอย่าง อาจด้วยอาการพิรุธที่มือซ้ายถือหนังสือ มือขวากุมช้อนไว้หลวมๆ
.
พลความเป็นด้วยเรื่องสารทุกข์สุขดิบ
ใจเรื่องคงเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นหลังคำถามว่า
ตรงนี้ เค้าเรียกไอไหร่นิยาย ?
.

พบอะไรที่ประตูผี

“ตูผี ตรงนี้ตูผี
เขาขุดพบเหล็กกรอบตูใหญ่โต ขึ้นเขียวหึม”
ยายจันยังเล่าต่อไปว่า
“เขาเอาศพออกนอกเมืองกันทาง “ปากตู” นี้”
.
แล้วก็รู้และจำไว้แค่นั้น มาเอะใจก็ตรงที่ นครศรีธรรมราชเคยเป็นรัฐจารีต จึงเช่นเดียวกันกับรัฐโบราณอื่นที่ต้องมีจารีตนิยม ซึ่ง “ประตูผี” เป็นหนึ่งในบรรดาสารพัน
.

ชาวโพธิ์เสด็จ คือลูกหลานแม่มด

เหมือนจะเคยผ่านตาว่า นอกจากใช้เคลื่อนศพออกแล้ว ในคราวมีพิธีไล่แม่มด เหล่าผู้ถูกอุปโลกน์ทั้งหลายก็ถูกขับออกทางประตูนี้ไปสู่นอกท่องปละตกเมือง ที่ก็ช่างไปคล้องกับเรื่องเล่าพื้นถิ่นตำบลนั้น ว่า “ชาวโพธิ์เสด็จ ต่างมีนิสัยสงบเสงี่ยมเจียมตัว ด้วยเพราะเป็นลูกหลานแม่มด”
.
ประตูผีเป็นประตูเดียวที่ปราศจากกฤติยาคุณ จึงมักพบว่ามีศาสนสถานศักดิ์สิทธ์หันไปประจันตรงปากประตูเพื่อกำราบสภาวะอื่นใดที่เป็นปฏิปักษ์ต่อเมือง
.
สำหรับเมืองนครศรีธรรมราช หากประตูผีอยู่ตรงนี้จริงตามปากคำยายจัน ก็คงเป็นหน้าที่ของ “พระนารายณ์” ในเทวสถานริมทางหลวง ที่แต่เดิมคิดว่าตั้งตรงข้ามเป็นแกนเดียวกันกับหอพระอิศวร ทั้งที่อยู่เยื้องหนึ่งว่าผินมาชำเลืองสะกดเอาปากประตูต้นเรื่องที่ว่านี้ไว้

.

ประตูพานยม ประตูลัก ก็ต่างคือประตูผี

นอกจากประตูพี่ที่ยายจันเล่าแล้ว ยังมีอีกประตูที่ชื่อออกไปทำนองผีๆ ด้วยคือ “พานยม” ก็ว่ากันว่าประตูนี้เป็นประตูผี กับอีกประตูที่ชื่อไม่ผี แต่พอเห็นรอยในพิธีกรรมผีคือ “ประตูลัก” ที่เล่าและลือกันว่าเป็นประตู “ลักศพ” ออกนอกเมืองนครศรีธรรมราช

.

ก็เท่ากับว่า เมืองนครศรีธรรมราชมีประตูผีมากกว่าประตูหนึ่ง ส่วนเหตุที่มากกว่าเมืองอื่น ๆ นี้อาจต้องสืบความต่ออีกสักน้อยฯ

 

จาก “วัดใหม่กาแก้ว” สู่ “วัดสวนป่าน” ประวัติวัดฉบับสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ

จาก “วัดใหม่กาแก้ว” สู่ “วัดสวนป่าน”

ประวัติวัดฉบับสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ

 

เป็นเรื่องชวนให้ตั้งข้อสังเกตอย่างหนึ่งว่า

บ่อยครั้งที่ผู้เขียนจะได้รับการทาบทามหรือการตั้งคำถามทำนองว่า

“พอจะทราบประวัติตั้งนั้น ตรงนี้ไหม ?”

ทั้งที่จริงแล้ว ผู้ถามก็เป็น “คนในนั้น”

.

ข้อสังเกตอันแรก คงเป็นความเข้าใจเกี่ยวกับคำว่า “ประวัติ” ที่เราถูกหล่อหลอมผ่านระบบการศึกษาว่ามักจะเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับสงคราม ราชวงศ์ และราชการ ทำให้ “ความทรงจำ” ของ “คนใน” ถูกกีดออกจากคำว่า “ประวัติ” ทั้งที่จริงแล้วล้วนเป็น “ประวัติศาสตร์สังคม” ที่สำคัญมาก และส่วนใหญ่มักสะท้อนให้เห็น “วิถี” และ “ชีวิต” ของผู้คนอีกด้วย

.

ข้อสองคงเป็นเพราะความเกร็งและเกรงใจภาษาราชการ ทำให้เมื่อจำเป็นต้องถ่ายทอดออกเป็นลายลักษณ์อักษร ประเด็น นัยและใจความสำคัญมักหล่นหาย เพราะติดกับดักโครงสร้างการเขียนประวัติศาสตร์อย่างทางการ

.

เมื่อวันอังคาร ที่ 18 มกราคม 2565 มีเหตุให้เจดีย์อนุสรณ์พระสหชาติ พ.ศ. 2487 แห่งวัดสวนป่านทลายลง ผู้เขียนมีโอกาสได้แลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับท่านสมภารเจ้าวัด นอกจากการฟื้นคืนสภาพของเจดีย์อนุสรณ์ดังกล่าวแล้ว ยังอาจต้องมีแผนสำหรับการจัดการข้อมูลที่เกี่ยวเนื่องกับศาสนสถาน โดยได้เสนอไป 3 ประเด็นอย่างคร่าว ๆ ว่า

 

ส่วนอดีต

ควรมีแผนการจัดการข้อมูลเกี่ยวกับศาสนสถาน-วัตถุ

โดยอาจเริ่มที่การรวบรวมแล้วเรียบเรียงเป็นฐานทำสารบบ

รวมถึงการประเมินสภาพและความเสี่ยง

 

ส่วนปัจจุบัน

ควรมีแผนการพัฒนาพื้นที่โดยคำนึงถึงแผนแรก

ควบคู่ไปกับแผนการบริหารจัดการพื้นที่โดยอาจจัดแบ่งเป็นเขตตามความสำคัญหรือลักษณะการใช้สอย

 

ส่วนอนาคต

ควรมีแผนจัดการความเสี่ยง

การทบทวนและประเมินสภาพรอบปี

 

ประวัติวัด ทั่วราชอาณาจักร

มีคู่มือเบื้องต้นสำหรับการศึกษาประวัติวัดต่าง ๆ ในประเทศไทย สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติดำเนินการจัดพิมพ์เป็นรูปเล่มตั้งแต่ปี พ.ศ. 2525 ในส่วนของจังหวัดนครศรีธรรมราช มีในเล่มที่ 23 ฉบับพิมพ์ ปี พ.ศ. 2547 ข้อมูลที่ได้ส่วนใหญ่มาจากการรวบรวมจากเจ้าคณะจังหวัด เจ้าคณะอำเภอ และเจ้าคณะตำบล ในส่วนของวัดสวนป่านปรากฏอยู่ในหน้าที่ 510 โดยจะขอคัดมาเพื่อจะได้เป็นประโยชน์ในการสืบความกันต่อไป ดังนี้

 

วัดสวนป่าน ตั้งอยู่เลขที่ 153 ถนนพระบรมธาตุ ตำบลในเมือง อำเภอเมืองนครศรีธรรมราช จังหวัดนครศรีธรรมราช สังกัดคณะสงฆ์ธรรมยุต ที่ดินตั้งวัดมีเนื้อที่ 15 ไร่ 2 งาน 47 ตารางวา โฉนดที่ดินเลขที่ 2100 มีที่ธรณีสงฆ์จำนวน 1 แปลง เนื้อที่ 1 งาน 9 ตารางวา โฉนดที่ดินเลขที่ 990

 

อาณาเขต

ทิศเหนือจดถนนโรงช้าง

ทิศใต้จดซอยเหมชาลา

ทิศตะวันออกจดถนนพระบรมธาตุ

ทิศตะวันตกจดถนนวัดสวนป่าน

 

อาคารเสนาสนะ

อุโบสถ

กว้าง 23 เมตร ยาว 39 เมตร

สร้างเมื่อ พ.ศ. 2514

เป็นอาคารคอนกรีตเสริมเหล็ก

 

พระประธานประจำอุโบสถ

ปางสะดุ้งมาร

หน้าตักกว้าง 58 นิ้ว

สูง 79 นิ้ว

สร้างเมื่อ พ.ศ. 2525

 

ศาลาการเปรียญ (อาคารทรงไทย ชั้นเดียว)

กว้าง 13.50 เมตร

ยาว 18.25 เมตร

สร้างเมื่อ พ.ศ. 2507

 

พระประธานประจำศาลาการเปรียญ

ปางสมาธิ

หน้าตักกว้าง 35.50 นิ้ว

สูง 51 นิ้ว

สร้างเมื่อ พ.ศ. 2507

พระพุทธรูปเนื้อเงิน 2 องค์

สูง 65 นิ้ว และ 45 นิ้ว

 

กุฏิสงฆ์ จำนวน 10 หลัง

เป็นอาคารไม้ 4 หลัง

ครึ่งตึกครึ่งไม้ 3 หลัง

และตึก 3 หลัง

 

วิหาร (อาคารคอนกรีตเสริมเหล็ก)

กว้าง 14.60 เมตร

ยาว 21 เมตร

สร้างเมื่อ พ.ศ. 2480

 

ศาลาอเนกประสงค์ (อาคารคอนกรีตเสริมเหล็ก ชั้นเดียว)

กว้าง 6.30 เมตร

ยาว 12.50 เมตร

สร้างเมื่อ พ.ศ. 2540

 

ศาลาบำเพ็ญกุศล

จำนวน 1 หลัง

เป็นอาคารครึ่งตึกครึ่งไม้

 

นอกจากนี้มี หอระฆัง โรงครัว กุฏิเจ้าอาวาส และเรือนรับรอง

.

จาก “วัดใหม่กาแก้ว” สู่ “วัดสวนป่าน”

วัดสวนป่าน ตั้งเมื่อ พ.ศ. 2452 วัดตั้งมาตั้งแต่รัชกาลที่ 5 ในช่วงเปลี่ยนการปกครองเป็นสมุหเทศาภิบาล ต่อมาเจ้าพระยาสุธรรมมนตรีศรีธรรมราช ได้ยกถวายให้ท่านเจ้าคุณพระรัตนธัชมุนี (ม่วง) และได้ตั้งวัดให้ชื่อว่า “วัดใหม่กาแก้ว” แต่ชาวบ้านเรียกว่า “วัดสวนป่าน” เพราะเรียกตามชื่อคนดูแลสวนของท่านเจ้าพระยาสุธรรมมนตรีเดิม

.

ได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมาเมื่อวันที่ 3 กันยายน พ.ศ.2525

เขตวิสุงคามสีมา กว้าง 23 เมตร ยาว 39 เมตร

.

ลำดับเจ้าอาวาส

พ.ศ. 2442 – 2449 พระครูกาแก้ว

พ.ศ. 2449 – 2460 พระญาณเวที

พ.ศ. 2460 – 2478 พระครูโภธาภิรามมุนี

พ.ศ. 2478 – 2489 พระครูวินัยธร

พ.ศ. 2489 – 2500 พระปลัดส่อง โชติกโร

พ.ศ. 2500 – ไม่ระบุ พระครูจิตรการประสาท

 

เดิมตั้งแต่ พ.ศ.2505 เปิดเป็นโรงเรียนพระปริยัติธรรมแผนกธรรมด้วย

.

จะเห็นว่ายังมีศาสนสถานและวัตถุอีกหลายรายการที่ไม่ได้ระบุไว้ในเล่มนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเจดีย์อนุสรณ์พระสหชาติที่เพิ่งทลายลงไปนี้ด้วย กับทั้งข้อวิเคราะห์ต่าง ๆ เช่นว่า ความสำคัญและบทบาทต่อชุมชน เส้นเวลา ภูมินาม ฯลฯ ซึ่งทั้งหมดนี้อาจเป็นเรื่องที่ต้องรอผู้สนใจใฝ่รู้เติมเต็มต่อในอนาคต