พระพุทธสิหิงค์เมืองนคร เคยมีพระเกตุมาลาทองคำ

จำข่าวดีเมื่อไม่กี่ปีก่อนได้ไหมครับ ?
สำหรับท่านที่ไม่ได้ปูเสื่อรอ
ขอเท้าความไว้หน่อยหนึ่ง ดังนี้
.

พระพุทธสิหิงค์

เมื่อ ๒ ปีที่แล้วผมพบภาพพระพุทธสิหิงค์มีพระเกตุมาลาสูงกว่าเท่าที่เคยเห็น ภาพนั้นอยู่ในหนังสืองานประจำปีเมืองนครศรีธรรมราช พุทธศักราช ๒๔๗๗ ตอนนั้นได้รับความกรุณาจากท่าน ผอ.พรทิพย์ฯ ให้ใช้ห้องเอกสารโบราณของหอสมุดแห่งชาติ เพื่อสืบค้นข้อมูลทำหนังสือประวัติศาสตร์อำเภอเมือง
.
ตาแรก คิดว่าเป็นองค์จำลองแล้วปรับแปลง ครั้นสอบลักษณะเฉพาะแล้วจึงรู้ ว่าเป็นองค์เดียวกันกับที่ประดิษฐานอยู่ในหอเดี๋ยวนี้
.
ในหนังสือไม่ได้ให้รายละเอียดอะไรส่วนนี้
จึงได้แต่ตั้งคำถามว่าทำไมเมื่อก่อนมี แล้วเดี๋ยวนี้ไม่มี ?
.

พระเกตุมาลาทองคำ

จนมาพบงานเขียนของอาจารย์ประทุม ชุ่มเพ็งพันธ์ อดีตหัวหน้าหน่วยศิลปากรที่ ๘ (พ.ศ.๒๕๑๓ – ๒๕๑๘) ขณะนั้นตั้งทำการอยู่ภายในวัดพระมหาธาตุ วรมหาวิหาร ท่านยืนยันไว้บนปกในด้านหลังของสารนครศรีธรรมราช ฉบับเดือนกรกฎาคม ๒๕๑๔ ว่า “…พระเกตุมาลาทองคำนั้น เพิ่งทำสวมเสริมขึ้นใหม่ในรัชกาลที่ ๕ โดยให้ช่างถมหลังวัดจันทารามเป็นผู้ทำ…”
.
ก็เป็นอันแน่นอนว่าพระเกตุมาลาทองคำนี้เคยมีอยู่ กับที่เห็นเพิ่มในลายแทงอาจารย์ประทุมฯ คือ คงสร้างขึ้นในคราวเดียวกันกับฐาน กับว่าช่างถมหลังวัดจันฯ นี้ คงได้ชื่อว่าเป็นช่างฝีมือดี เหมือนอย่างเจ้าคุณเฒ่า (ม่วง รัตนธโช) ผูกสำนวนไว้แต่แรกว่า “อยากเป็นช่างให้ไปวัดจัน”
.
ธรรมเนียมการสวมเกตุมาลานี้ เคยเห็นมีครอบให้กับพระลากบางองค์ด้วย คงเป็นขนบการถวายเครื่องมหรรฆภัณฑ์แด่พระพุทธรูปตามอย่างชาวนครศรีธรรมราช ทำนองคล้ายกับการหุ้มยอดพระบรมธาตุเจดีย์ด้วยทองคำก็ปานกัน
.
คิดไปในทางที่ดีว่าคงมีเหตุเรื่องความปลอดภัยจึงจำเป็นให้ต้องถอดออกเพื่อเก็บรักษาไว้ แต่ก็ไม่ควรทำให้หายไปจากความรับรู้ของผู้คน อย่างน้อยก็เพื่อรู้ เพื่อทราบ ว่ายังถูกพิทักษ์ไว้อย่างดี อยู่ที่ใด ใครเป็นผู้รักษา
.

คุณค่าของพระพุทธสิหิงค์เมืองนครศรีธรรมราช

ส่วนตัวเห็นว่า ควรหาวาระถวายครอบขึ้นสักมื้อหนึ่งต่อปี เพื่อให้ชาวเราได้ชื่นชมบารมี เรียนรู้วิถีศรัทธาของบรรพบุรุษ และอาจเป็นช่องให้ช่วงใช้เพื่อทวีคุณค่าของพระพุทธสิหิงค์เมืองนครศรีธรรมราช ร่ายลามไปถึงเป็นกิมมิคทางการท่องเที่ยว ส่งเสริมศิลปะและวัฒนธรรม เช่นว่า เชิญออกสรงน้ำปีนี้มีพิธีถวายครอบพระเกตุมาลาทองคำก่อนเชิญขึ้นทรงบุษบก ให้ประชาชนได้สักการะกันใกล้ตา
.
อย่างไรก็ดี ทั้งหมดนี้ควรเริ่มที่การสืบความว่า แล้วยังอยู่ไหม ? อยู่ไหน ? และใครพอจะทราบเรื่องราวนี้บ้าง ?
.
(แล้วก็ทิ้งท้ายโพสต์ก่อนว่า) ประจำเมืองฯ
.
หลังจากโพสต์นี้กี่เดือนจำไม่ได้ ผมรับสายจากท่าน ผอ.หช. ในเช้าวันหนึ่ง ว่าพบวัตถุชิ้นหนึ่งในคลัง พช. คล้ายกับที่กำลังถามหา ท่านขอข้อมูลเพิ่มเติมและได้ชี้ช่องไปพร้อมเสร็จ
.
จนเมื่อ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ นครศรีธรรมราช ได้เผยแพร่ภาพพร้อมคำอธิบายประกอบนี้ทางเฟซบุ๊ก ส่วนตัวคิดว่าเป็นชิ้นเดียวกันกับที่ตามหา ดังจะตั้งข้อสังเกตไว้ดังนี้
.
นายสันต์ เอกมหาชัย เป็นผู้ว่าราชการจังหวัดนครศรีธรรมราช ระหว่างวันที่ ๖ สิงหาคม พ.ศ.๒๕๐๐ – ๓๐ สิงหาคม ๒๕๐๒ แต่ไปมีข้อมูลรูปภาพว่าพระเกตุมาลาทองคำนี้เคยครอบถวายพระพุทธสิหิงค์มาก่อนหน้านั้นแล้วตั้งแต่ปีพุทธศักราช ๒๔๗๗ ก่อนมาดำรงตำแหน่งถึง ๒๓ ปี ประกอบกับปากคำของอาจารย์ประทุม ชุ่มเพ็งพันธุ์ อดีตหัวหน้าหน่วยศิลปากรที่ ๘ ที่ว่าสร้างเมื่อรัชกาลที่ ๕ โดยช่างถมทองวัดจันทร์
.
จึงเป็นไปได้ไหมที่ในประวัติว่า “สร้างถวาย” อาจจะเป็นเพียงการ “มอบไว้” เพราะพบว่าได้มอบหลังจากหมดวาระไปแล้ว ๒๑ ปี ซึ่งอาจมีคำถามต่อไปว่า เหตุใด ? หมดวาระแล้วจึงยังมีกรรมสิทธิ์ในพระเกตุมาลาทองคำนี้อยู่ ?
.
ข้อนี้ไปพล่ายกับการกำหนดอายุสมัย ส่วนตัวคิดไปว่า พช. คงจะยืนตามข้อมูลที่ปรากฏในทะเบียน แต่อยากขอความกรุณาให้สอบทานหลักฐานอื่นประกอบเพิ่ม เพราะดูเหมือนจะมีนัยยะบางประการที่น่าสนใจฯ

อีสาระพา คือใคร ? ทำไมจึงต้อง เฮโล ?

ตักบาตรเหอ
ตักบาตรหน้าล้อ
แทงต้มใบพ้อ
สำหรับลากพระ
พอเห็นลายมือใหญ่
ชวนกันไปวัดไปวา
สำหรับลากพระ
อีโหย้สาระพาเหอฯ

ประเพณีลากพระ

ก็เพราะว่า “ลากพระ” เป็น “วัฒนธรรม” จึงมีปกติปรับสภาพไปตามธรรมชาติของโลกเพื่อความอยู่รอด
.
ส่วนตัวจึงไม่เห็นว่าเป็นเรื่องแปลก ที่หน้าหรือหลังพนมพระบางวัดจะมีเครื่องเสียงชุดใหญ่ เปิดเพลงเวียนครกจังหวะสามช่า รำวง รวมถึงมิกซ์เพลงแดนซ์ต่างๆ เรียกแขก เรียกคน เรียกความสนใจ สร้างบรรยากาศให้แลดูคึกคัก ในขณะที่อีกหลายวัด มีแค่ ปืด ตะโพน ฆ้อง ระฆัง กังสดาล เป็นเครื่องประโคมคุมพระ
.
จะเห็นว่า ประเพณีลากพระที่เพิ่งผ่านไปนี้ มีการแบ่งพื้นที่ของตัวมันเอง ให้เห็นรสนิยม ความเก่า กลาง ใหม่ ที่ใครใคร่จะเข้าถึงอย่างใดก็ตามแต่จริตนิสัย ภายใต้สาระสำคัญอันเดียวกันคือ “ลากพระ”
.
ชุดเครื่องเสียงรถแห่อาจแลดูคึกโครมเกินงาม แต่ถ้าลองทูลถามพระบรมศาสดาที่เสด็จมาบนพนมนั้น พระองค์ก็จะทรงสงบนิ่งไม่ติงไหวสั่นคลอน ฉันใด เสียงอันอึกทึกเหล่านั้น แทนที่จะทำลายประเพณีอยู่ท่าเดียว กลับจะมีแง่ดีอยู่บ้างด้วย คือเป็นเครื่องมือช่วยชักชวน(คนกลุ่ม)ใหม่ ให้เข้ามาใน(คติของคนกลุ่ม)เก่า ฉันนั้น
.
ก็เมื่อพุทธกาลยังไม่มีเครื่องเสียง หรือถ้ามี เราก็ไม่อาจยืนยันได้ว่าคนสมัยโน้นจะไม่คว้ามาใช้งาน
.
ตานี้ ในประเด็นของความเก่า กลาง ใหม่นี้ จะถามหาความเก่าแท้ก็ยาก ความใหม่จริงยิ่งยากกว่า ที่เห็นอยู่เดี๋ยวนี้จึงคือความกลางๆ คือมีความเก่าเป็นพื้นแล้วใช้ความใหม่เข้าช่วย กับยืนบนความใหม่ในฐานของความเก่า
.
ส่วนเพลงเซิ้ง เพลงหมอลำ ที่เป็นผลมาจากอิทธิพลของเทคโนโลยีด้านการสื่อสารทำให้โลกใกล้กันขึ้น หากเปรียบเทียบกับเพลงสิบสองภาษาของโบราณาจารย์ท่านแล้ว เราในเดี๋ยวนี้ยังดูแพ้อยู่หลายขุม
.
อีกหนึ่งต้องไม่ลืมว่า ไม่มีผู้คน ก็ไม่มีศาสนา ศาสนาจึงเป็นเรื่องของคน เมื่อคนเกิดมีขึ้นตามธรรมชาติ ศาสนากับธรรมชาตินี้ ก็จึงคืออันเดียวกัน
.
และยุคที่ต้องเว้นระยะห่างนี้
ก็คงมีเรื่องต้องเรียนต้องรู้เกี่ยวกับการปรับรูปปรับแบบเพื่อความอยู่รอดของ “ลากพระ” กันอีกครั้ง
ท้ายที่สุด จะได้คลี่คลายว่า อีสาระพาที่เคยได้ยินเป็นที่คุ้นหูเมื่อลากพระคือใคร ?
และทำไมจึงต้องเฮโล ? กัน ดังนี้

อีสาระพา มาจากคำว่า สรภ
อ่านว่า สะระพะ
.
คือชื่อกลองชนิดหนึ่ง
ซึ่งคงเป็นอันเดียวกันกับที่เรียกเดี๋ยวนี้ว่า “ปืด”
.
อีสารภา เฮโลๆ
จึงคือสร้อยเพลง เพื่อสับทำนองของเสียงกลองนั้น
.
ส่วนไอ้ไหร่กลมๆ ?
คงมีผู้โลน ผู้ทอยแล้วอยู่เกลื่อนไปฯ

กระท่อมมา ฝิ่นหาย : เปิดไทม์ไลน์จากรายงานข้าหลวงเทศาภิบาลณฑลนครศรีธรรมราช

กระท่อม

กระท่อมมา ฝิ่นหาย :
เปิดไทม์ไลน์จากรายงานข้าหลวงเทศาภิบาลณฑลนครศรีธรรมราช

โดย ธีรยุทธ บัวทอง

 

เมื่อแรกฝิ่นยังถูกกฏหมาย

ฝิ่นเป็นสิ่งที่ถูกกฎหมายในหลายพื้นที่เมื่อครั้งอดีต ไม่เว้นแม้แต่ประเทศไทย เพราะฝิ่นสามารถสร้างรายได้ให้กับรัฐโดยการผูกขาดอำนาจทางธุรกิจและระบบการจัดเก็บภาษีจากผู้ค้า

ฝิ่นมีมูลค่าสูงยังผลให้มนุษย์ต้องเข่นฆ่ากันเพื่อช่วงชิงผลประโยชน์ ดังจะเห็นได้ชัดจากสงครามฝิ่นในช่วงปี พ.ศ. 2382 – 2403 ระหว่างอังกฤษกับจีน จนนำมาสู่ความสั่นคลอนของราชวงศ์ชิง

แต่ถึงกระนั้น ฝิ่นก็ไม่ได้เป็นสารเสพติดและยารักษาโรคเพียงชนิดเดียวที่สามารถสร้างความสุขแก่ผู้ใช้และสร้างรายได้ให้กับรัฐเพียงสิ่งเดียว หากแต่มีพืชทำนองเดียวกันหลายชนิด และหากกล่าวถึงภาคใต้ของประเทศไทยแล้วล่ะก็ คงหนีไม่พ้นกะท่อม ซึ่งกะท่อมนี้นี่เองที่มีส่วนทำให้รายได้ของรัฐจากฝิ่นหดหายไป ดังรายงานข้าหลวงเทศาภิบาลมณฑลนครศรีธรรมราช ระบุว่า “…นายอากรยาฝิ่นได้จำหน่ายอยู่ในศก 116 อากรฝิ่นมณฑลนี้ คงมีกำไร แต่ไม่สู้มากนัก เหตุที่ฝิ่นมณฑลนครศรีธรรมราชขายไม่สู้จะดีนั้นเพราะมีจีนน้อย พวกไทยที่สูบก็เป็นคนขัดสน มักจะถุนเสียมาก ใช่แต่เท่านั้นยังซ้ำพวกราษฎรปลูกต้นกระท่อมขายใบด้วยอีกส่วนหนึ่ง จึงทำให้ฝิ่นจำหน่ายได้น้อยไป ในศก 117 ได้ออกประกาศ ห้ามไม่ให้ราษฎรปลูกต้นกระท่อมและที่มีอยู่แล้ว ก็ให้ตัดพ้นเสียให้หมด และที่ประกาศห้ามเสียอย่างนี้ คงจะเป็นปากเสียงร้องว่าเดือดร้อนกันบ้างเป็นแน่”

กระท่อม

กระท่อม เป็นไม้ยืนต้นขนาดใหญ่ปานกลาง มีแก่นเป็นไม้เนื้อแข็ง สูง 10 -15 เมตร อยู่ในตระกูล Mitragyna speciosa มีชนิดก้านใบแดงและใบเขียว ดอกกลมโตขนาดเท่าผลพุทรา ใบเป็นใบเดี่ยวสีเขียว เรียงตัวเป็นคู่ตรงข้าม พบมากบริเวณทางภาคใต้ของประเทศไทย ผู้คนมักนำมาเคี้ยวใบสดหรือบดใบแห้งให้เป็นผง ละลายน้ำดื่ม บางรายเติมเกลือด้วยเล็กน้อยเพื่อป้องกันท้องผูก นอกจากนี้ยังมีสรรพคุณทางยาเป็นตัวยาในตำรับพวกประเภทยาแก้ท้องเสีย แม้ใบกระท่อมให้ผลการออกฤทธิ์ที่อาจมีประโยชน์ทางยาได้ แต่ทำให้เสพติดและมีผลเสียต่อสุขภาพ หากใช้ติดต่อกันนานๆ

เนื่องจากพืชกระท่อมมีสารเสพติดที่พบในใบ คือ  ไมทราไจนีน (Mitragynine) เป็นสารจำพวกอัลคาลอยด์ ออกฤทธิ์กดประสาทส่วนกลาง (CNS depressant) แต่เมื่อหยุดเสพจะเกิดอาการ เช่น ปวดเมื่อยตามกล้ามเนื้อและกระดูก แขนขากระตุก ก้าวร้าว นอนไม่หลับ อยากอาหารยาก มีอาการไอมากขึ้น เป็นต้น

ปลดล็อคกระท่อม

พืชกระท่อมจึงถูกควบคุมโดยกฎหมายเกี่ยวกับยาเสพติดหลายฉบับมานานนับหลายทศวรรษ จนกระทั่งในช่วงปี พ.ศ. 2564 ที่ผ่านมา สภาได้มีมติเอกฉันท์ผ่านร่าง พ.ร.บ.พืชกระท่อม ให้สามารถปลูกและใช้ได้อย่างเสรี ส่วนการนำเข้าและส่งออกต้องขออนุญาต

โดยหลังการยกเลิกพืชกระท่อมจากยาเสพติดประเภท 5 ประชาชนสามารถครอบครอง บริโภค และใช้ประโยชน์จากพืชกระท่อมได้ จึงควรส่งเสริมและให้มีการพัฒนาเป็นพืชทางเศรษฐกิจ กำหนดมาตรการดูแลโดยเฉพาะการนำเข้าและการส่งออกเท่านั้นที่ต้องขอรับใบอนุญาตก่อน ส่วนการเพาะ การปลูก และการขายใบพืชกระท่อม แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นการบริโภคใบกระท่อมมากเกินควรอาจก่อให้เกิดอันตราย โดยเฉพาะเด็กอายุต่ำกว่า 18 ปี สตรีมีครรภ์ และสตรีให้นมบุตร จึงกำหนดมาตรการกำกับดูแลการขาย การโฆษณา และการบริโภคใบกระท่อมในบางประการ เพื่อคุ้มครองสุขภาพของผู้บริโภคและกลุ่มบุคคลดังกล่าว แต่ไม่ควรกำหนดข้อบังคับที่กระทบกับวิถีชีวิตและชุมชน

ดังนั้นจะเห็นได้ว่ากระท่อมไม่ใช่สิ่งผิดกฎหมาย เพราะความรุนแรงของสารภายในเพียงประการเดียว แต่ผิดกฎหมายเพราะขัดแย้งกับผลประโยชน์ที่รัฐสูญเสีย การผสมสูตรร้อยแปดของบรรดาวัยรุ่นเป็นเพียงแรงสนับสนุนเหตุผลว่าใบกระท่อมนั้นไม่ควรเปิดเสรี แต่หากพิจารณาเฉพาะใบกระท่อมแล้วกลับหาเป็นเช่นนั้นไม่ (และถึงแม้มีฤทธิ์กระตุ้นประสาทและกดระบบประสาทก็ดูจะไม่ได้มีความรุนแรงดังเช่นสุราเมรัย หนทางเดินไปข้างหน้าคือการสนับสนุนให้มีการศึกษาพืชใบกระท่อม เพื่อการใช้ประโยชน์ที่ถูกต้องทางการแพทย์มากกว่าผลประโยชน์ทางธุรกิจ

อ้างอิง

https://mnfda.fda.moph.go.th/narcotic/?p=6063
https://mgronline.com/politics/detail/9640000089093

ภาพปก : https://www.prachachat.net/general/news-26363

ประเพณีชิงเปรต แต่ก่อน ใคร ? ชิงเปรต ! เดี๋ยวนี้ยัง “สาเสด เวดนา” กันไหมหนอ ?

ทำบุญเหอ
ทำบุญวันสารท
ยกหมรับดับถาด
ไปวัดไปวา

พองลาหนมแห้ง
ตุกแตงตุกตา
ไปวัดไปวา
สาเสดเวดนา เปรตเหอฯ

หลังเพลงช้าน้องที่ยกมา
เรามาเข้าเรื่องกันเลยที่คำถามเปิดหัวว่า แต่ก่อน ใคร ? ชิงเปรต !
ใจจริงก็สงสัยว่าทำไมต้องไป “ชิง” ของ “เปรต” ด้วย
ในเมื่อตั้งใจจะ “อุทิศ” ไปให้เปรตเหล่านั้นแล้วตั้งแต่ต้น
พบบันทึกของท่านขุนอาเทศคดีฉบับนี้ เป็นอันถึงบางอ้อ…
“…เคยเห็นแต่นักโทษที่เรือนจำ
ปล่อยให้เที่ยวหากินตามลำพัง
กับพวกขอทานต่างแย่งชิงกันเก็บเอาไป
เรียกกันว่า ชิงเปรต เด็กๆ ชอบดูกันเห็นเป็นการสนุกสนาน…”
.

ประเพณีชิงเปรต

“ชิงเปรต” ในปัจจุบันเข้าใจกันว่าเป็นส่วนหนึ่งในประเพณีบุญเดือนสิบ ที่เริ่มต้นด้วยการ “ตั้งเปรต” คือการนำ “หมรับ” (อ่านว่า หฺมฺรับ) อันได้แก่ สำรับกับข้าวคาว-หวาน ขนมเดือนสิบ เช่น พอง ลา บ้า ดีซำ ไข่ปลา รวมถึง ผลไม้ หมาก พลู เงิน และ ดอกไม้ ธูป เทียน ไปอุทิศรวมกันไว้ที่ “ร้านเปรต” หรือบางวัดจัดไว้เป็น “หลาเปรต” เชื่อกันว่าคือการให้ทานโดยสาธารณะแก่วิญญาณเปตะชน(ผู้ละโลกนี้ไปแล้ว)ที่ไม่มีญาติหรือญาติไม่ได้มาร่วมทำบุญ

.การชิงเปรตจะเริ่มขึ้นหลังจากพระสงฆ์ดึงสายสิญจ์ซึ่งเดิมโยงจากบรรดาหมรับที่ตั้งเปรตไว้เพื่อเป็นอาณัติสัญญาณว่า พิธีทางศาสนาได้สมบูรณ์แล้วประการหนึ่ง กับถึงเวลาที่จะสามารถ “ชิงเปรต” กันได้แล้วประการหนึ่ง บรรดาคนหนุ่ม คนสาว ไม่เว้นแม้แต่พ่อเฒ่ามีแก่ที่ต่างจดจ่อรอเวลาอยู่รอบร้านเปรตหลาเปรต ก็กรูกันเข้าฉก ชิง แย่ง ยื้อ กันชุลมุน

.ในพริบตาก็เหลือร้างไว้เพียงหลาหรือร้านที่ว่างเปล่ากับร้อยยิ้ม เสียงหัวเราะ และถ้อยคำอธิษฐานก่อนแบ่งปันกันรับประทาน เพราะต่างก็มีความเชื่อว่าจะเป็นสิริมงคล บ้างก็เก็บไว้เพื่อนำไปโปรยในไร่นาหวังให้ผลอาสินผลิช่อออกลูกอุดมสมบูรณ์ ลูกหลานบ้านไหนป่วยไข้บ่อย บนบานกันไว้ว่าหากหายจะพาไปชิงเปรต ก็มี (ข้อมูลจากคณะทำงาน U2T ตำบลโมคลาน)

.เอาเข้าจริงแล้ว

บุญเดือนสิบของเมืองนครศรีธรรมราช
ยังไม่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐ
.
ส่วนที่ระบุว่าเป็นอะไรๆ เทือกนี้
หากมองให้ชัดจะเห็นว่าเป็นเพียงการสร้างความสนใจต่อสิ่งที่งอกขึ้นใหม่
ทั้งนี้ยังคงต้องมีคำว่าบุญเดือนสิบ หรืออะไรที่มีอยู่ในนั้น เพื่อสร้างความชอบธรรมในการปฏิบัติตามระบบ
.
จะเห็นว่าบุญนี้เริ่มต้นที่ครอบครัว
โดยใช้วัดเป็นสื่อกลางประกอบพิธี
ดังนั้นเมื่อเอาเข้าจริงจะมีก็เพียงบ้านกับวัดเท่านั้น
ที่ควรเป็นพื้นที่เป้าหมาย
.
ก็ยังไม่เคยเห็น
ว่าหน่วยงานใดจับจุดเสริมแรงได้ถึงแก่นพิธีกรรมในวัด
ซึ่งส่วนตัวมองว่า
การไร้แรงแห่งรัฐลงถึงแก่นสาระของบุญเดือนสิบนี้
เป็นเรื่องที่ดี และดีมากด้วย
เพราะทุกบ้าน – ทุกวัด
จะยังสามารถรักษาขนบธรรมเนียม
จารีตรูปรอยของแต่ละพื้นที่ได้อย่างมั่นคง
.
มาถึงตรงนี้จะเห็นว่าสิ่งนี้มีคุณจริง
จึงไม่มีทีท่าว่าจะเลื่อนลอย
ถูกค้ำยันด้วยจิตสำนึกของผู้คน
มิหนำซ้ำตัวมันเองก็หยั่งรากนี้ลงถึงก้นบึ้งของวิญญาณ
กับทั้งยังมีกลไกทลายเปลือกปลอมบางประการ
และสถาปนาความเป็นลูกหลานอย่างเสมอตัวถ้วนหน้า
ใครจะยิ่งใหญ่คับฟ้ามาจากไหน
กลับบ้าน ถึงวัด ก็ต้องกลายเป็นลูกหลานไปโดยปริยาย
ติดระบบระเบียบ อุกอาจหาญกล้าอย่างไร
ก็ต้องจำนนต่อลักษณะวิธีของสาธารณชนอยู่นั่นเอง
.
บุญเดือนสิบจึงตัดขาดจากงานเดือนสิบ
การรื่นเริงที่ละเลงละลานอยู่ทั่วไปนี้เป็นอย่างหลัง
มองแง่ดีเป็นการรองรับผู้คนที่เดินทางกลับบ้าน
ให้ได้ทำกิจกรรมร่วมกันนอกบ้าน
.
เมื่อแรกคิดการเมื่อเกือบร้อยปีก่อน
ท่านผู้ริเริ่มอาจคิดเห็นว่าวิถีนี้ไม่ควรจะแตะก็เป็นได้
จึงเลือกพื้นที่จัดงานครั้งแรกที่สนามหน้าเมือง
และคงเป็นกุศลที่ท่านทั้งหลายนั้นเลือกถูก
.
บุญเดือนสิบจึงยังคงเป็นบุญเดือนสิบ
และงานเดือนสิบก็ปล่อยให้เป็นส่วนของงานเดือนสิบไป
เพราะบางอย่าง ยิ่งส่งเสริม ยิ่งสาบสูญฯ

ว่าด้วย “หมรับ” คำอ่าน ภาษาเขียน และข้อเรียนรู้

หมรับเอยแห่เลยเช้าเข้าหว่างเพล
ยกประเคนเครื่องประกอบชอบกุศล
ตามแต่มีบรรดาได้ในเรือนตน
สาละวนประดับประดาสาระพัน
.
ตองตานีถี่เย็บเก็บวงรอบ
รับทรงสอบลู่รี่ชี้สวรรค์
สลักพองรองไข่ปลาลาลอยมัน
ชะลูดหลั่นอย่างมหามงกุฎชัย
.
ทำมุขทิศบิดทางข้างละจั่ว
จำหลักตัวนาดสะดุ้งพยุงไหว
ทำช่อฟ้าแต่งระกาด้วยมาลัย
หน้าบันในแสดงเห็นเป็นเรื่องทอง
.
ปางประสูติพระสัมมาหน้าที่หนึ่ง
ตรัสรู้จึงแจกแจงไว้แห่งสอง
แสดงธรรมเทศนาที่สามรอง
ที่สี่ของดับขันธปรินิพานฯ
(วันพระ สืบสกุลจินดา, 2560)
.
บทสนทนาระหว่างสีแก้วและยอดทอง
(โหมดภาษาใต้)
(สีแก้ว)
เฮ คำนี้เขียนพรือหละไอ้ทอง ?
.
(ยอดทอง)
บอกว่า “หมรับ” กะ “หมรับ” ตะ !
แหลงมาก เจ็บคอจังแล้ว
พจนานุกรมภาษาถิ่นกะมีอยู่โทงๆ
หลักการทางภาษาศาสตร์ก็ยืนยันอยู่เห็นๆ
อิมาทำพี่พอได้บัญญัติให้หรอยแต่คำว่าหมรับพรือ
.
คันพันนั้นกะใส่ หฺมฺรัก เสียกันตะ
สากลัวคนอิอ่านว่า หม – รัก
ถึงนู้อีกหลายคำกะใส่พินทุเสียให้ฉาด
สากลัวว่าอิอ่านว่า หม – รัง, หม – รา, หม – ราบ
.
ใครอ่านโถกไม่โถกกะปล่อยให้ขึ้นอยู่กับปัญญาตะ
คำอื่นอ่านยากอิอับสับเห็นยังแข้นอ่านกันออก
แม่เหยแม่คันคำเดียวเท่านี้ ทำมาหวังเหวิด
แลใหม่ให้ดีตะ มันคืออัตลักษณ์ที่ไม่จำเป็นต้องไปปรับให้ผิดหลักผิดแบบเอื้อกับไอ้ไหร่ๆ นิ
ดีเสียเหลยจะได้พากันพยายามเข้าใจความเป็นเรา ความเป็นตัวตนของเรา
.
อย่าดูถูกผู้อ่านด้วยการเขียนคำว่า “หมรับ” ด้วยคำอ่านอีกเลย
เขียนไปเป็นคำเขียนนี้แหละ
จากมเหยงคณ์ อิอ่านเป็น มะ – เหยง กะช่างหัวมันแหละทีนี้หึ
บอกเพื่อนว่าเมืองนักปราชญ์
คันคำเดียวเท่านี้อ่านไม่โถกกะไม่ที่ทำพรือ
ฮาโรย !!!!
.
(โหมดภาษากลาง)
ควรเขียนว่า “หมรับ” แล้วอ่านว่า “หฺมฺรับ”
เหตุที่ควรเขียนโดยไม่มีพินทุนั้นก็เพราะว่าการใส่พินทุเป็นการแสดงคำอ่านไม่ใช่การเขียน โดยใส่พินทุข้างล่างพยัญชนะเพื่อใช้ระบุอักษรนำและอักษรควบกล้ำ เช่นคำว่า สุเหร่า (สุ – เหฺร่า) หรือ ปรากฏการณ์ (ปฺรา – กด – กาน) อย่างคำว่า หมรับ มีพยัญชนะ ๓ ตัว คือ ห นำ ม แล้วนำ ร อีกที จึงวางพินทุที่ ห และ ม เพื่อชี้ว่า ทั้ง ๒ ตัวนี้ทำหน้าที่เป็นอักษรนำ
.
(สีแก้ว)
ฮาเอาทองเอา ถูกเอาหมลักแม่เหยแม่
.
ความเข้าใจคลาดเคลื่อนเกี่ยวกับการเขียนคำว่า “หมรับ” และวัฒนธรรมใหม่ที่มีจุดกำเนิดมาจากความแพร่หลายของความคลาดเคลื่อนนี้ ส่งผลให้ในยุคปัจจุบันสำรวจไม่พบคำอธิบายของการเขียนในลักษณะอื่นๆ เช่น หฺมฺรับ, หฺมรับ, หมฺรับ, หฺมฺรบ, หมฺรบ, หมฺรบฺ, หมรบฺ เป็นต้น
.
จากการค้นคว้าพบว่า คำว่า “หมรับ” นี้ ไม่มีปรากฏอยู่ในพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถานอย่างที่มีเอกสารหลายฉบับได้อ้างถึงว่าเขียนไว้ว่า “หฺมฺรับ” แต่กลับปรากฏอยู่ในพจนานุกรมภาษาถิ่นภาคใต้ระบุการเขียนไว้ว่า “หมรับ” และคำอ่านแบบเทียบเป็นภาษาอังกฤษกำกับไว้ว่า “Mrap”
หากจะอธิบายถึงจุดด้านล่างตัวอักษร (เครื่องหมายพินทุ) นั้น สามารถอธิบายได้ว่า เครื่องหมายพินทุมีหลักการใช้ ๒ กรณี คือใช้เป็นเครื่องหมายระบุอักษรนำในการเขียนคำอ่าน เช่น คำว่า สุเหร่า (สุ – เหฺร่า) หรือ ปรากฏการณ์ (ปฺรา – กด – กาน) อีกกรณีคือการเขียนกำกับตัวสะกดในภาษาบาลี เช่นคำว่า สัมมาสัมพุทโธ (สมฺมาสมฺพุทฺโธ) ทั้งนี้หากเขียนคำว่า “หมรับ” เป็นคำอ่าน ก็จะเขียนได้ว่า “หฺมฺรับ” และเขียนเป็นภาษาบาลีจะได้ว่า หมรบฺ
.
จึงใคร่ขอทำความเข้าใจใหม่ในความถูกต้องที่มีมาแต่ก่อนเก่า เกี่ยวกับคำสำคัญอันมีที่มาจากประเพณีสำคัญซึ่งเป็นเอกลักษณ์หนึ่งเดียวของโลกของเรานี้ ตามหลักการเขียนที่ถูกต้องว่า “หมรับ” ไม่ใช่ตามหลักการอ่านด้วยพินทุหรือรูปแบบการเขียนในภาษาบาลีที่พบเห็นเป็นความคลาดเคลื่อนอยู่โดยทั่วไปในปัจจุบัน
.
ก็เหตุที่การเขียนต้องเขียนด้วยภาษาเขียนประการหนึ่ง แลหมรับคำนี้เป็นการรวบคำมาจากคำว่า “สำรับ” จึงเป็นบาลีไปเสียไม่ได้อีกหนึ่ง

เดือนสิบให้เห็นหน้า เดือนห้าให้เห็นตัว รวมเรื่องเดือนสิบเมืองนครศรีธรรมราช

เดือนสิบให้เห็นหน้า เดือนห้าให้เห็นตัว รวมเรื่องเดือนสิบ ฉบับเมืองนครศรีธรรมราช

นครศรีธรรมราชเป็นเมืองที่มีความผูกพันอยู่กับพระพุทธศาสนา  บทบาททางพระพุทธศาสนาแฝงอยู่ในวิถีชีวิตที่สัมพันธ์กับประเพณีและพิธีกรรม  ดังจะเห็นว่ามีประเพณีที่นับเนื่องในพระพุทธศาสนาถูกเคล้าเข้าด้วยคตินิยมและธรรมเนียมท้องถิ่นอย่างลงตัว เช่น ประเพณีบุญเดือนห้า ชักพระ (บางแห่งเรียกลากพระ) โดยเฉพาะประเพณีบุญสารทเดือนสิบซึ่งถือว่าโดดเด่นเป็นเอกลักษณ์สำคัญของจังหวัดนครศรีธรรมราช

ประเพณีเดือนสิบจังหวัดนครศรีธรรมราช หลักฐานเก่าสุดในเอกสารโบราณตำรา 12 เดือน คัดแต่สมุดขุนทิพมนเทียรชาววังไว้ เรียก “พิธีสารท” เป็นประเพณีที่สำคัญอยู่คู่กับเมืองนครศรีธรรมราชมาตั้งแต่เมื่อใดยังไม่มีข้อสรุป แต่ในปี พ.ศ. 2466 ได้มีการสนับสนุนคุณค่ายกระดับขึ้นเป็นเทศกาลและเป็นวิถีปฏิบัติมาจนถึงปัจจุบัน มีการสืบทอดในเรื่องทัศนคติที่ตั้งอยู่บนพื้นฐาน ความเชื่อเรื่องกรรม สวรรค์ นรก และวิญญาณ ผู้ทำดีเมื่อถึงแก่กรรมย่อมสู่สุคติภูมิบนสวรรค์ ส่วนผู้ที่ทำความชั่ว เมื่อถึงแก่ความตายย่อมสู่แดนแห่งทุกข์ตกอยู่ในนรก รับผลกรรมที่ก่อ ต้องอาศัยผลบุญที่ลูกหลานทำให้แต่ละปีมายังชีพ

ประเพณีทำบุญเดือนสิบจะเริ่มตั้งแต่แรม 1 ค่ำ เดือน 10 ซึ่งถือว่าเป็นวันที่พญายมปล่อยตัวผู้ล่วงลับที่เรียกว่า “เปรต” ให้ขึ้นมาจากนรก และจะเรียกตัวกลับไปในวันแรม 15 ค่ำ เดือน 10  ดังนั้นในวันแรม 1 ค่ำ เดือน 10 ชาวนครจะจัดภัตตาหารไปทำบุญที่วัดเพื่อเป็นการต้อนรับญาติที่ขึ้นมาจากนรกเรียกวันนี้ว่า “วันรับตายาย” หรือ “วันหมรับเล็ก” (หมรับ อ่านว่า หฺมฺรับ มาจากคำว่า สำรับ แปลว่า ของหรือคนที่รวมกันเข้าได้ไม่ผิดหมู่ผิดพวกเป็นชุดเป็นวง)และในวันแรม 15 ค่ำ เรียกว่านี้ว่า “วันส่งตายาย” หรือ  “วันหมรับใหญ่” ด้วยการจัดหมรับโดยการนำเครื่องอุปโภค บริโภค และขนมอันเป็นสัญลักษณ์ที่ขาดไม่ได้ 5 อย่าง คือ ขนมพอง ขนมลา ขนมกง (ขนมไข่ปลา) ขนมดีซำ และขนมบ้า

เมื่อจัดหมรับเรียบร้อยจึงยกหมรับไปวัด ฉลองหมรับและบังสุกุล ทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้บรรพบุรุษที่ล่วงลับไป หลังจากนั้นจะเป็นการตั้งเปรต แต่เดิมทำโดยเอาอาหารอีกส่วนหนึ่ง ที่ขาดไม่ได้คือขนม 5 อย่างข้างต้น ไปวางไว้ตามตรงทางเข้าวัด ริมกำแพงวัด หรือตามโคนต้นไม้

ภายหลังมีการสร้างร้านขึ้นสูงพอสมควรเรียกว่า “หลาเปรต” แล้วนำสายสิญจน์ที่พระสงฆ์จับเพื่อสวดบังสุกุลมาผูกไว้กับหลาเปรตเพื่อแผ่ส่วนกุศล เมื่อเสร็จพิธี ประธานสงฆ์ก็จะชักสายสิญจน์เป็นสัญญาณให้ลูกหลานเข้าไปเสสัง มังคะลาฯ บรรดาของที่ตั้งไว้นั้นกันตามธรรมเนียม และด้วยว่าเป็นประเพณีประจำปีที่มีคนหมู่มากรวมตัวกันร่วมพิธี

การเข้าไปขอคืนเศษภัตตาหารอันมงคลที่เหลือเหล่านั้นจึงติดไปข้างชุลมุนจนต้องแย่งต้องชิงกัน กิจนี้จึงมีคำเรียกว่า  “ชิงเปรต” ตามอาการที่เป็น เพราะล้วนมีความเชื่อว่าของที่เหลือจากการเซ่นไหว้บรรพบุรุษ ถ้าใครได้กินจะได้กุศลแรงเป็นสิริมงคลแก่ตนเองและครอบครัว

ประเพณีบุญสารทเดือนสิบเป็นการทำบุญใหญ่ประจำปีที่เป็นสัญลักษณ์ของจังหวัดนครศรีธรรมราช  เมื่อถึงเทศกาลประเพณีบุญสารทเดือนสิบ ชาวนครศรีธรรมราชต่างกลับถิ่นฐานบ้านเกิดเพื่อร่วมพิธีกรรมอุทิศกุศลให้บรรพบุรุษ เป็นการแสดงความกตัญญูต่อบรรพบุรุษที่ล่วงลับไปแล้ว

ทั้งนี้ประเพณีบุญสารทเดือนสิบมีการจัดในหลายพื้นที่ของภาคใต้  ส่วนของจังหวัดนครศรีธรรมราช นับว่ามีการจัดแบบประเพณีประดิษฐ์ที่ยิ่งใหญ่ เช่น ขบวนแห่หมรับที่งดงามจากหลายอำเภอในจังหวัดนครศรีธรรมราชเข้าร่วมงานประเพณี มีการประกวดหมรับซึ่งคนในพื้นที่เขตอำเภอต่างๆ จะรวมตัวกันก่อตั้งเป็นกลุ่มร่วมกันจัดทำรถหมรับที่สะท้อนให้เห็นถึงวิถีชีวิตวัฒนธรรมของกลุ่มตนเองโดยแบ่งเป็นหลายกลุ่ม เช่น กลุ่มลุ่มน้ำตาปี  กลุ่มที่ราบเชิงเขา กลุ่มฝั่งทะเลตอนบน เป็นต้น

อีกสิ่งหนึ่งในขบวนแห่ที่เป็นเอกลักษณ์ก็คือ เปรต ในขบวนแห่หมรับมีการจัดทำหุ่นเปรต รวมไปถึงยมทูต ยมบาลที่อยู่ในนรก เพื่อแสดงให้ลูกหลานเกรงกลัว และไม่ประพฤติตนผิดศีลธรรมอันดีงามของพระพุทธศาสนา  ด้านศิลปวัฒนธรรมก็มีการประกวดประชันหลายกิจกรรม เช่น หนังตะลุง มโนห์รา เพลงร้องเรือ กลอนสด หลายกิจกรรมมีการอนุรักษ์สืบทอดมาตั้งแต่อดีต

ยุทธศาสตร์การพัฒนาขององค์การบริหารส่วนจังหวัดนครศรีธรรมราช  ได้ให้ความสำคัญยุทธศาสตร์ชาติ ซึ่งงานประเพณีบุญสารทเดือนสิบก็เป็นอีกหนึ่งในนั้นที่ส่งเสริมด้านการศึกษา ศาสนา ศิลปะ วัฒนธรรม จารีตประเพณี และภูมิปัญญาท้องถิ่น โดยองค์การบริหารส่วนจังหวัดนครศรีธรรมราชได้จัดกิจกรรม   ที่แสดงถึงอัตลักษณ์ของจังหวัดนครศรีธรรมราช เพื่อสร้างและสื่อสารอัตลักษณ์ความเป็นนครศรีธรรมราชให้เป็นที่รู้จักมากขึ้น  แต่ยังคงรักษาประเพณีดั้งเดิมไว้เพื่อเป็นการอนุรักษ์และสืบทอดมีดังต่อไปนี้ 

สถานที่จัดงาน

งานประเพณีบุญสารทเดือนสิบของจังหวัดนครศรีธรรมราช เริ่มต้นครั้งแรกใน ปีพ.ศ. 2466 โดยใช้สถานที่จัดงานบริเวณสนามหน้าเมืองนครศรีธรรมราช  และจัดติดต่อกันจนกระทั่งปี พ.ศ.2535  จึงได้ย้ายไปจัดบริเวณสวนสมเด็จพระศรีนครินทร์ 84 (ทุ่งท่าลาด)  ในปี พ.ศ.2549 มีการจัดงานเป็นกรณีพิเศษเพื่อเป็นการฉลองเนื่องในมหามงคลฉลองสิริราชสมบัติครบ 60 ปี ของในหลวงรัชกาลที่ 9  ซึ่งทางจังหวัดได้กำหนดรูปแบบการจัดงานที่ยิ่งใหญ่ขึ้น

โดยกำหนดสถานที่จัดงาน 3 แห่งคือ วัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร  ศาลากลางจังหวัดนครศรีธรรมราช  และสวนสมเด็จพระศรีนครินทร์ 84 (ทุ่งท่าลาด)  และต่อมาได้มีการลดสถานที่ในการจัดลงเหลือเพียงแค่สนามหน้าเมืองนครศรีธรรมราช และสวนสมเด็จพระศรีนครินทร์ 84 (ทุ่งท่าลาด)  สำหรับปี พ.ศ. 2563 นี้  ทางจังหวัดได้กำหนดรูปแบบการจัดงานเป็นสถานที่เดียวกันคือ สวนสมเด็จพระศรีนครินทร์ 84 (ทุ่งท่าลาด) 

ระยะเวลาในการจัดงาน

งานประเพณีบุญสารทเดือนสิบในช่วงแรกๆ  มีการจัดเพียง 3 วัน 3 คืน  คือเริ่มตั้งแต่  วันแรม 13 ค่ำ เดือน 10  ไปจนถึงวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 10 จัดขึ้นเพียงเพื่อจำหน่ายสินค้าที่จำนำไปใช้ประกอบพิธีกรรมในประเพณีบุญสารทเดือนสิบ  แต่ในปัจจุบันได้เพิ่มระยะเวลาในการจัดงานขึ้นมาเป็น 10 วัน 10 คืน  และได้เพิ่มเติมในส่วนกิจกรรมต่างๆมากมาย  เพื่อแสดงถึงอัตลักษณ์ของความเป็นนครศรีธรรมราช  ให้เป็นที่รู้จักมากขึ้น สำหรับประจำปี พ.ศ. 2563 นี้  กำหนดจัดงานระหว่างวันที่ 11 – 20 กันยายน 2563 

กิจกรรมภายในงาน

นครศรีธรรมราชเป็นจังหวัดที่มีศิลปวัฒนธรรม และภูมิปัญญาท้องถิ่นมากมาย องค์การบริหารส่วนจังหวัดนครศรีธรรมราชต้องการอนุรักษ์และสืบทอดสิ่งเหล่านี้จึงได้จัดให้มีกิจกรรมต่างๆขึ้น ดังนี้

กิจกรรม วันที่จัดงาน เงินรางวัล หน่วยงานรับผิดชอบ
1. การประชันหนังตะลุงอาชีพชิงถ้วยพระราชทานสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้ากรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี รอบคัดเลือก

13–15 กันยายน 2563

รอบคัดเลือก

20 กันยายน 2563

อบจ.นศ. ร่วมกับ

วัฒนธรรมจังหวัดนครศรีธรรมราช

2. การประกวดเพลงร้องเรือชิงถ้วยพระราชทานสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ระดับเยาวชนรุ่นอายุ              ไม่เกิน 19 ปี

17 กันยายน 2563

ระดับอุดมศึกษาและประชาชนทั่วไป รุ่นอายุ 19 ปีขึ้นไป

18 กันยายน 2563

อบจ.นศ. ร่วมกับ

อาศรมวัฒนธรรมมหาวิทยาลัย                  วลัยลักษณ์

3. การประชันหนังตะลุงเยาวชน   อบจ.นศ.
4. การประกวดมโนห์ราเยาวชน   อบจ.นศ.
5.การประกวดกลอนสด   อบจ.นศ. ร่วมกับศูนย์ศิลปวัฒนธรรม มหาวิทยาลัยราชภัฎนครศรีธรรมราช
6. การประกวดหุ่นเปรต  และขบวนแห่หุ่นเปรต 15 กันยายน 2563 อบจ.นศ. ร่วมกับสมาคมผู้สื่อข่าว                 จ.นครศรีธรรมราช
7. ขบวนแห่หมรับ 16 กันยายน 2563

 

อัตลักษณ์ของงานประเพณีบุญสารทเดือนสิบ

4.1 ขบวนแห่หมรับ

ในอดีตคือการที่คนในหมู่บ้านร่วมกันแห่เพื่อนำหมรับไปกอบพิธีกรรมที่วัดคือ  ชาวบ้านจะช่วยกันตั้งขบวนการจัดจนไปถึงขั้นตอนการนำหมรับไปประกอบพิธีกรรม  แต่การแห่หมรับในปัจจุบันทางองค์การบริหารส่วนจังหวัดนครศรีธรรมราชได้ร่วมจัดขบวนแห่หมรับขึ้นเพื่อเป็นการแสดงให้เห็นถึงตัวตนรวมถึงอัตลักษณ์ของคนในจังหวัดนครศรีธรรมราช  ซึ่งสะท้อนผ่านขบวนแห่ในหลายๆ ด้าน เช่น

1) ศิลปวัฒนธรรม นครศรีธรรมราชเป็นจังหวัดที่มีศิลปะและวัฒนธรรมมากมาย ทั้งหนังตะลุง มโนห์รา  รวมไปถึงประเพณีต่างๆของจังหวัด  เช่น ประเพณีแห่ผ้าขึ้นธาตุซึ่งเป็นประเพณีหนึ่งที่มีความสำคัญและเป็นเอกลักษณ์ของจังหวัด  ในขบวนแห่ก็มีการแสดงให้เห็นถึงประเพณีโดยมีการสร้าง พระบรมธาตุเจดีย์จำลองขึ้นมาร่วมกันแห่ในขบวนแห่หมรับ มีการเชิดหนังตะลุง  มโนห์รา เป็นต้น จากที่ยกตัวอย่างมาองค์การบริหารส่วนจังหวัดนครศรีธรรมราชต้องการสื่อให้เห็นว่าจังหวัดนครศรีธรรมราชยังคงอนุรักษ์และสืบทอดศิลปวัฒนธรรมเป็นอย่างดี

2) วิถีชีวิต  และความเป็นอยู่ ของคนในจังหวัดนครศรีธรรมราชได้สะท้อนให้เห็นว่านครศรีธรรมราชเป็นเมืองเกษตรกรรม  มีวิถีชีวิตที่สัมพันธ์อยู่กับการทำเกษตร  ทั้งการประกอบอาชีพ  ทำนา ทำสวนยาง เป็นต้น  ทั้งที่ในปัจจุบันคนในจังหวัดนครศรีธรรมราชเองก็มีการปรับเปลี่ยนการประกอบอาชีพ ตามภาวะทางเศรษฐกิจ มีการเข้าไปทำงานในระบบอุตสาหกรรมเพิ่มมากขึ้น การทำการเกษตรก็ลดน้อยลง  แต่ก็ยังคงมีคนในหลายอำเภอที่ยังคงยึดการประกอบอาชีพด้านเกษตรกรรม  และผลผลิตทางการเกษตรที่ได้ ก็เป็นสิ่งที่แสดงให้เห็นถึงความอุดมสมบูรณ์ของทรัพยากรธรรมชาติจังหวัดนครศรีธรรมราชเป็นสินค้าที่ขึ้นชื่อของจังหวัด เช่น มังคุด คีรีวงที่มีการส่งออกไปยังต่างประเทศ  และส้มโอทับทิมสยาม เป็นต้น

3) การอนุรักษ์และสืบทอดภูมิปัญญาท้องถิ่น ของจังหวัดนครศรีธรรมราช ได้ร่วมมือกันเพื่อพัฒนาให้สินค้าหรือผลิตภัณฑ์ออกสู่ตลาดมากขึ้น  ทั้งนี้จังหวัดนครศรีธรรมราชได้มีการรวมกลุ่มเพื่อจัดทำผลิตภัณฑ์หรือสินค้าเพื่อเป็นการอนุรักษ์และสืบทอดภูมิปัญญาท้องถิ่น ไม่ว่าจะเป็นอาหาร เครื่องดื่ม เสื้อผ้าเครื่องแต่งกาย  ของใช้ และสมุนไพรที่ไม่ใช่อาหารที่แสดงถึงศักยภาพ มีคุณค่า  และเอกลักษณ์  ยกตัวอย่างเช่น ผ้ายกเมืองนคร  หัตถกรรมกระจูด  ปลาดุกรา  จักสานย่านลิเภา  เป็นต้น สินค้าและผลิตภัณฑ์เหล่านี้ได้มีการนำมาร่วมในขบวนแหม่หมรับด้วย

4) ความร่วมมือร่วมใจของคนนครศรีธรรมราช  ที่ได้รับความร่วมมือจากหลาย ภาคส่วนไม่ว่าจะเป็นภาครัฐ เอกชน และหน่วยงานต่างๆในจังหวัดนครศรีธรรมราช มีขบวนจากเครือข่ายสถาบันอุดมศึกษา โรงเรียน ห้างร้าน เทศบาลนครนครศรีธรรมราช  องค์การบริหารส่วนจังหวัดนครศรีธรรมราช  และคนในเขตพื้นที่อำเภอต่างๆ  ซึ่งจะรวมตัวกันก่อตั้งเป็นกลุ่มจะร่วมกันจัดทำรถหมรับ และสะท้อนให้เห็นถึงวิถีชีวิตและวัฒนธรรมของกลุ่มจนเองผ่านขบวนที่จัดทำขึ้น  โดยแบ่งเป็นหลายกลุ่ม เช่น กลุ่มลุ่มน้ำตาปี  กลุ่มที่ราบเชิงเขา  กลุ่มฝั่งทะเลตอนบน เป็นต้น

4.2 เปรต 

ประเพณีบุญสารทเดือนสิบมีอีกสิ่งหนึ่งที่เป็นเอกลักษณ์ก็คือ เปรต  มีการจัดทำหุ่นเปรต ในขบวนแห่ รวมถึงการประกวดหุ่นเปรตและขบวนแห่ เพื่อแสดงให้เกรงกลัว และไม่ประพฤติตนที่ไม่ดี ซึ่งนี้ก็เป็นสิ่งที่ต้องการสอนให้ลูกหลานประพฤติตนตามหลักธรรมอันดีงามของพระพุทธศาสนา

เปรตมีการแบ่งเป็น 4 ประเภท 12 ตระกูล 21 ชนิด

ในคัมภีร์ทางพุทธศาสนามีการกล่าวถึง “เปรต” อยู่หลายแห่ง อย่างในไตรภูมิพระร่วง   อันเป็นพระราชนิพนธ์ของพญาลิไท (พระธรรมราชาที่ 3) ที่สอนให้คนกลัวบาปและทำความดี ได้มีการกล่าวถึง  “เปรตภูมิ” ว่าเป็นหนึ่งในอบายภูมิ 4 ซึ่งคนชั่วตายแล้วต้องไปเกิดเพื่อชดใช้กรรม ภูมิทั้ง ๔ ได้แก่ นรกภูมิ ติรัจฉานภูมิ เปรตภูมิ และอสุรกายภูมิ โดยเปรตภูมิ นั้น เป็นดินแดนของผู้ที่ต้องรับกรรมด้วยความทุกข์ทรมานจากความหิวโหยอดอยากบ้าง จากความร้อนหนาวอย่างที่สุดบ้าง จากความเจ็บปวดอย่างที่สุดบ้าง และเปรตมีอยู่หลายจำพวกอาศัยอยู่ตามที่ต่างๆ ทั้งบนเขา ในน้ำ ในป่า ตามต้นไม้ใหญ่ บางพวกข้างแรมเป็นเปรต ข้างขึ้นเป็นเทวดา บางพวกเป็นเปรตไฮโซ ได้อยู่ปราสาทแก้ว มีกำแพงแก้ว คูแก้วที่สวยงามล้อมรอบ บางพวก ก็มีข้าทาสบริวาร มียวดยานพาหนะขี่ท่องเที่ยวไปในอากาศได้ และมีบางพวกที่มีลักษณะน่าเกลียดน่ากลัว  น่าเวทนา ต้องทรมานเพราะอดข้าวอดน้ำ ต้องกินสิ่งสกปรกโสโครก กินเนื้อหนังของตนเอง ซึ่งความแตกต่างนี้ก็ขึ้นกับความหนักเบาของกรรมชั่วที่ก่อนั่นเอง ดังตัวอย่างเช่น เปรตบางตนตัวงามดั่งทอง แต่ปากเหม็นมาก มีหนอนเต็มปาก เหตุที่เป็นเช่นนี้ เพราะเคยรักษาศีลมาก่อนตัวจึงงาม แต่เพราะได้ติเตียนยุยงพระสงฆ์ให้แตกแยก ปากจึงเหม็นมีหนอนเจาะไช เปรตบางตนเคยเป็นนายเมืองตัดสินความโดยรับสินบน กลับผิดเป็นถูก ไม่มีความยุติธรรม เมื่อตายไป จะเป็นเปรตที่มีวิมานเหมือนเทวดา มีเครื่องประดับแก้วแหวนเงินทองมีนางฟ้าเป็นบริวาร แต่จะได้รับความลำบากคือไม่มีอาหารจะกิน ต้องเอาเล็บขูดเนื้อหนังตัวเองมากิน เปรตบางพวกกระหายน้ำ แต่ดื่มไม่ได้ เพราะน้ำจะกลายเป็นไฟเผาตน พวกนี้ตอนมีชีวิตอยู่ชอบรังแกคนที่อ่อนแอลำบากกว่าเอาของเขามาเป็นของตน และชอบใส่ร้ายคนอื่น

ส่วนในพระไตรปิฎกก็มีการกล่าวถึงพระสาวกว่าได้พบเห็นและมีโอกาสสนทนากับเปรตโดยเปรตแต่ละตนก็จะเล่าว่าตนได้ทำกรรมอะไรบ้างสมัยเป็นมนุษย์ ครั้นตายลงจึงต้องมาเสวยผลกรรมดังที่เห็น

สำหรับเปรตที่มีการแบ่งเป็นหลายพวกหลายประเภทและมีชื่อเรียกต่างๆ ส่วนใหญ่ จะอยู่ในอรรถกถา ซึ่งเป็นคำภีร์ที่รวบรวมคำอธิบายความในพระไตรปิฎกในภาษาบาลี เรียกว่า คัมภีร์อรรถกถา บ้าง ปกรณ์อรรถกถาบ้าง แต่ไม่ใช่คำสอนของพระพุทธเจ้าโดยตรง เพียงแต่เป็นการอธิบายความหรือคำยากเพื่อให้เข้าใจง่ายและชัดเจนยิ่งขึ้น

หนึ่งในอรรถกถาได้พูดถึง เปตวัตถุ (วัตถุที่นี้ แปลว่า เรื่อง เปตวัตถุ = เรื่องของเปรต) ว่าแบ่งเป็น 4 ประเภท ได้แก่

1. ปรทัตตูปชีวิกเปรต (ปอ-ระ-ทัด-ตู-ปะ-ชี-วิก-กะ-เปด) คือ เปรตที่มีชีวิตอยู่ด้วยการรับอาหารที่ผู้อื่นให้ โดยการเซ่นไหว้ เป็นต้น และเป็นเปรตประเภทเดียวเท่านั้นที่สามารถรับส่วนบุญส่วนกุศล ที่มนุษย์อุทิศให้

2. ขุปปีปาสิกเปรต (ขุบ-ปี-ปา-สิก-กะ-เปด) คือ เปรตที่อดอยาก จะหิวข้าวหิวน้ำอยู่ตลอดเวลา

3. นิชฌามตัณหิกเปรต (นิ-ชา-มะ-ตัน-หิ-กะ-เปด) คือ เปรตที่ถูกไฟเผาไหม้ให้เร่าร้อนอยู่เสมอ

กาลกัญจิกเปรต (กา-ละ-กัน-จิ-กะ-เปด) คือ เปรตจำพวกอสุรกาย มีร่างกายใหญ่โต    แต่กลับไม่มีเรี่ยวแรง มีปากเล็กเท่ารูเข็มอยู่บนกลางศีรษะ ตาโปนเหมือนตาปู

นอกจากแบ่งตามข้างต้นแล้ว ในคัมภีร์โลกบัญญัติปกรณ์ (คัมภีร์ที่อธิบายถึงการเกิดของมนุษย์และภพภูมิต่างๆ) รวมถึง ฉคติทีปนีปกรณ์ (คัมภีร์ว่าด้วยความรู้แจ้งแห่งภพทั้ง 6) ได้แบ่งเปรตออกเป็น 12 ตระกูลและได้พูดถึงกรรมที่ทำให้ไปเป็นเปรตแต่ละตระกูล ดังนี้

1. วันตาสาเปรต เป็นเปรตที่กินน้ำลาย เสมหะและอาเจียนเป็นอาหาร กรรมคือ ชาติก่อนเป็นคนตระหนี่ถี่เหนียว เห็นใครมาขออาหารก็ถ่มน้ำลายใส่ด้วยความรังเกียจ หรือเข้าไปในสถานที่ศักดิ์สิทธิ์แล้วไม่เคารพสถานที่ ถ่มน้ำลายเสลดในสถานที่เหล่านั้น

2. กุณปาสทาเปรต เป็นเปรตที่กินซากศพคนหรือสัตว์เป็นอาหาร กรรมคือ เคยเป็นคนตระหนี่ ใครมาขอบริจาคทาน ก็แกล้งให้ของที่ไม่ควรให้ ด้วยต้องการแกล้งประชด ไม่เคารพในทานที่ทำ

3. คูถขาทกเปรต เป็นเปรตที่กินอุจจาระเป็นอาหาร กรรมคือ ตระหนี่จัด เมื่อญาติตกทุกข์ได้ยากหรือมีใครมาขอความช่วยเหลือขอข้าว ขอน้ำ จะเกิดอาการขุ่นเคืองทันที แล้วชี้ให้คนที่มาขอไปกินมูลสัตว์แทน

4. อัคคิชาลมุขเปรต เป็นเปรตที่มีเปลวไฟลุกในปากตลอดเวลา กรรมคือ ตระหนี่เหนียวแน่น ใครมาขอ อะไร ครั้นจะไม่ให้ก็กลัวเขาดูแคลน จึงแกล้งให้สิ่งของร้อนๆ เพื่อหวังกลั่นแกล้งให้ผู้รับเข็ดหลาบและเลิกมาขอ

5. สุจิมุขเปรต เป็นเปรตที่มีเท้าใหญ่โต คอยาวมาก แต่ปากเท่ารูเข็ม จะกินแต่ละทีต้องทุกข์ทรมานมาก กรรมคือ ใครมาขออาหารก็ไม่อยากให้ และไม่มีศรัทธาจะถวายทานแก่สมณพราหมณ์หรือผู้ทรงศีล หวงทรัพย์

6. ตัณหัฏฏิตเปรต เป็นเปรตที่หิวข้าวหิวน้ำอยู่ตลอดเวลา แม้จะมองเห็นแหล่งน้ำแล้ว พอไปถึงก็กลับกลายเป็นสิ่งอื่นดื่มกินไม่ได้ กรรมคือ เป็นคนหวงข้าวหวงน้ำ เที่ยวปิดสระ ปิดบ่อหม้อข้าว ไม่ให้คนอื่นกิน

7. นิชฌามกเปรต เป็นเปรตที่มีตัวดำเหมือนตอไม้ที่ถูกเผา ตัวสูงชะลูด มือเท้าเป็นง่อย ปากเหม็น กรรมคือ เป็นคนใจหยาบ เห็นสมณพราหมณ์ผู้มีศีลจะโกรธเคือง มีอกุศลจิตคิดว่าท่านเหล่านั้นจะมาขอของๆ ตน จึงแสดงกิริยาหยาบคายและขับไล่ท่านเหล่านั้นให้ได้รับความอับอาย หรือเห็นพ่อแม่แก่เฒ่าเกิดโรคภัยไข้เจ็บเบียดเบียน ก็แกล้งให้ท่านตายไว ตัวจะได้ครองสมบัติของท่าน

8. สัพพังคเปรต เป็นเปรตที่มีเล็บมือเล็บเท้าคมเหมือนมีดและงอเหมือนตะขอ ได้แต่ก้มหน้าก้มตาข่วนร่างกายเป็นแผลและกินเลือดเนื้อตัวเองเป็นอาหาร กรรมคือ ชอบขูดรีดหรือเอาเปรียบชาวบ้าน หรือชอบรังแกหยิกข่วนพ่อแม่

9. ปัพพตังคเปรต เป็นเปรตที่มีร่างกายใหญ่โตเหมือนภูเขา แต่ต้องถูกไฟเผาคลอกอยู่ตลอดเวลา กรรมคือ เมื่อเป็นมนุษย์ได้เอาไฟไปเผาบ้านเผาเรือนผู้อื่น

10. อชครเปรต เป็นเปรตที่มีรูปร่างคล้ายสัตว์เดียรัจฉาน และจะถูกเผาไหม้ทั้งวันทั้งคืน กรรมคือ ตอนเป็นมนุษย์เป็นคนตระหนี่ เห็นผู้มีศีลมาเยือนก็มักด่าเปรียบเปรยว่าท่านเป็นสัตว์ เพราะไม่อยากทำทาน

11. มหิทธิกเปรต เป็นเปรตที่มีฤทธิ์มากและรูปงามเหมือนเทวดา แต่อดอยากหิวโหยตลอดเวลา เมื่อเจอของสกปรกก็จะดูดกินเป็นอาหาร กรรมคือ ตอนเป็นมนุษย์เคยบวชเรียน และพยายามรักษาศีล จึงมีรูปงาม แต่เกียจคร้านต่อการบำเพ็ญธรรม จิตใจจึงยังเต็มไปด้วยความโลภ โกรธ หลง

12. เวมานิกเปรต เป็นเปรตที่มีวิมานคล้ายเทวดา แต่จะเสวยสุขได้เฉพาะกลางวัน พอกลางคือก็จะเสวยทุกข์ กรรมคือ เมื่อเป็นมนุษย์มีศรัทธาทำบุญกุศลไว้มาก แต่ไม่รักษาศีลให้บริสุทธิ์

นอกเหนือจากเปรตข้างต้นแล้ว ในพระวินัยและลักขณสังยุตต์พระบาลี ยังได้พูดถึงเปรตอีก   21 จำพวก ได้แก่

1. อัฏฐีสังขสิกเปรต เปรตที่มีกระดูกติดกันเป็นท่อนๆ แต่ไม่มีเนื้อ

2. มังสเปสิกเปรต เปรตที่มีเนื้อเป็นชิ้นๆ แต่ไม่มีกระดูก

3. มังสปิณฑเปรต เปรตที่มีเนื้อเป็นก้อนๆ

4. นิจฉวิเปรต เปรตที่ไม่มีหนังหุ้ม

5. อสิโลมเปรต เปรตที่มีขนเป็นพระขรรค์

6. สัตติโลมเปรต เปรตที่มีขนเป็นหอก

7. อุสุโลมเปรต เปรตที่มีขนเป็นลูกธนู

8. สูจิโลมเปรต เปรตที่มีขนเป็นเข็ม

9. ทุติยสูจิโลมเปรต เปรตที่มีขนเป็นเข็มอีกแบบ

10. กุมภัณฑเปรต เปรตที่มีอัณฑะใหญ่โตมาก

11. คูถกูปนิมุคคเปรต เปรตที่จมอยู่ในอุจจาระ

12. คูถขาทกเปรต เปรตที่กินอุจจาระ

13. นิจฉวิตกิเปรต เปรตหญิงที่ไม่มีหนัง

14. ทุคคันธเปรต เปรตที่มีกลิ่นเหม็นเน่า

15. โอคิลินีเปรต เปรตที่มีร่างกายเป็นถ่านไฟ

16. อลิสเปรต เปรตที่ไม่มีศีรษะ

17. ภิกขุเปรต เปรตที่มีรูปร่างเหมือนพระ

18. ภิกขุนีเปรตเปรต เปรตที่มีรูปร่างเหมือนภิกษุณี

19. สิกขมานเปรต เปรตที่มีรูปร่างเหมือนสิกขมานา (สามเณรีที่ได้รับการอบรมเป็น

เวลา 2 ปี เพื่อบวชเป็นภิกษุณี)

20. สามเณรเปรต เปรตที่มีรูปร่างเหมือนสามเณร

21. สามเณรีเปรต เปรตที่มีรูปร่างเหมือนสามเณรี

จะเห็นว่า เปรตในพระคัมภีร์แต่ละฉบับนั้นใช้หลักเกณฑ์ในการแบ่งประเภทแตกต่างกันออกไป กล่าวคือ ใน พระคัมภีร์อรรถกถาแบ่งตามฐานะ พระคัมภีร์โลกบัญญัติปกรณ์แบ่งตามกรรม และพระวินัยลักขณะสังยุตต์พระบาลีแบ่งตามลักษณะ

 กิจกรรมและประเพณีที่เกี่ยวเนื่องกับเปรตของนครศรีธรรมราชที่มีและใช้กันในปัจจุบันมีหลายลักษณะ  เช่น

ด้านสำนวนภาษา  มีสำนวนที่เกี่ยวกับเปรตอยู่มาก  โดยนำมาเปรียบเทียบให้เป็นรูปธรรมขึ้น  และมักจะเป็นความหมายในแง่ไม่ดี  เช่น

สูงเหมือนเปรต               :   สูงผอมชะลูดเกินไปจนผิดส่วน

ผอมเหมือนเปรต             :   ผอมมากจนผิดปกติ

กินเหมือนเปรต              :   กินตะกละอย่างตายอดตายอยากมานาน

เสียงเหมือนเปรต            :   เสียงแหลม เล็ก สูง เกินคนธรรมดา

ขี้คร้านเหมือนเปรต         :   ไม่ค่อยทำอะไร  คอยแต่จะพึ่งผู้อื่น  (คอยรับส่วนบุญ)

อยู่เหมือนเปรต               :   รูปไม่งาม  (โหมระ)  จนผิดปกติ

การทำอาหาร  ขนมเดือน 10  จะเห็นได้ว่าชาวนครศรีธรรมราชมีภูมิปัญญาในการถนอมอาหารเป็นอย่างดี  ขนมที่นำไปในพิธีรับส่งเปรตจะเป็นประเภทเก็บไว้ได้นาน  โดยไม่ต้องมีตู้เย็น  เช่น ขนมพอง ขนมลา ขนมบ้า ขนมซำ  และขนมไข่ปลา  ล้วนเป็นประเภทไม่เสียง่าย สามารถเก็บไว้ได้นานพอสมควร

สะท้อนให้เห็นวิธีการอบรมความประพฤติและพฤติกรรมของคนในสังคมให้ประพฤติและปฏิบัติในทางที่ถูกที่ควร  ไม่ทำชั่ว  โดยอาศัยความเชื่อเรื่อง  กรรม  บาปบุญคุณโทษ  ควบคุมกาย วาจา และใจ  ให้ปฏิบัติและสิ่งที่ดี  ละชั่ว  โดยใช้เปรตเป็นสัญลักษณ์ของการลงโทษผู้กระทำผิด ขู่ให้เกรงกลัวไม่อยากเป็นและอยู่ในภาวะของเปรตทำให้สังคมสงบสุขได้ ความคิดความเชื่อเรื่องเปรต  จึงมีประโยชน์ต่อคนในจังหวัดนครศรีธรรมราชพอสมควร 

 4.3 ขนมที่ใช้ในประเพณีบุญสารทเดือนสิบ

ขนมเดือนสิบที่สำคัญและขาดไม่ได้เลย มี 5 ชนิด  คือ  ขนมพอง  ขนมลา  ขนมบ้า  ขนมดีซำ  และขนมไข่ปลา  ขนมทั้ง 5 ชนิดนี้นำไปเป็นส่วนประกอบหนึ่งในการจัดหมรับ  ซึ่งขนมทุกชนิดมีความหมายในการที่จะให้บรรพบุรุษนำไปใช้เป็นสิ่งของแทนสิ่งต่างๆ ในนรกภูมิ มีการใช้เป็นสัญลักษณ์สื่อถึงเครื่องใช้ที่แตกต่างกันดังนี้

ขนม ความหมายที่ใช้สื่อโดยรวม ความหมายอื่นๆ
ขนมลา แพรพรรณเครื่องนุ่งห่ม  – ห้วงมหรรณพ

– อาหารของเปรตปากเท่ารูเข็มเนื่องจากขนมลามีเส้นเล็ก เชื่อว่าเปรตปากเท่ารูเข็มจะสามารถกินได้

ขนมพอง แพ  สำหรับล่องข้ามห้วงมหรรณพ  หมายถึงการนำไปสู่การเข้านิพพาน  – เรือ

– เครื่องประดับ

– ยานพาหนะ

ขนมบ้า สะบ้า เหรียญเงิน
ขนมกง

หรือขนมไข่ปลา

เครื่องประดับ
ขนมดีซำ

ขนมเบซำ

ขนมเจาะรู

ขนมเจาะหู

–   เงินเบี้ย

–  เงิน

ต่างหู

นอกจากขนมเดือนสิบ  5 อย่างที่ระบุข้างต้นแล้ว  ยังมีขนมอื่นๆ  ที่ใช้อีกเช่นกันคือ

ขนม ความหมายที่ใช้สื่อโดยรวม
ขนมเทียน หมอนหนุน
ขนมต้ม เสบียงในการเดินทาง
ขนมรังมด
ขนมก้านบัว
ขนมฉาวหาย
ขนมขาไก่
ขนมจูจน

ขนมจูจุน

ขนมจู้จุน

ประเพณีบุญสารทเดือนสิบเป็นประเพณีที่สำคัญยังคงปฏิบัติสืบทอดกันมาจนถึงปัจจุบันมีเอกลักษณ์ความเป็นตัวตนของนครศรีธรรมราช ทั้งคนในจังหวัดนครศรีธรรมราช  และบุคคลภายนอกต่างหลั่งไหลเข้ามาร่วมงานเป็นจำนวนมาก  เนื่องจากมีกิจกรรมมากมายทั้งในส่วนที่เป็นจารีตดั้งเดิมและเทศกาลเพื่อสนับสนุนประเพณี จนเมื่อกล่าวถึงงานบุญสารทเดือนสิบแล้ว ใครๆ ก็ต่างต้องนึกถึงเมืองนครศรีธรรมราช

_____

ขอบพระคุณข้อมูลจาก สารนครศรีธรรมราช ฉบับเดือนสิบ’๖๓

ตำนานถ้ำขุนคลัง และเรื่องเล่าจากบันทึกของนักสำรวจมือสมัครเล่น

ตำนานถ้ำขุนคลัง และเรื่องเล่าจากบันทึกของนักสำรวจมือสมัครเล่น
โดย ธีรยุทธ บัวทอง

เมื่อเสร็จสิ้นภารกิจที่เขาโพรงเสือ (วันที่ 20-21 กรกฎาคม 2562) ผมก็ได้ออกเดินทางไกลไปยังอำเภอนบพิตำ พื้นที่แห่งหุบเขาและกำแพงกั้นลมทางด้านทิศตะวันตกของเมืองนครศรีธรรมราช โดยใช้เส้นทางทะลุเข้าสู่ถนนสายพรหมคีรี-กรุงชิง เดิมทีการเดินทางใช้เวลาเพียง 45-60 นาที แต่ช่วงที่เราเดินทางไปนั้น กรมทางหลวงกำลังปรับปรุงถนนพอดิบพอดี ผนวกกับฝนที่ตกลงมาเป็นระยะ ๆ เพิ่มความเสี่ยงต่อการลื่นไถลจากเนินเขา ทำให้การเดินทางครั้งนี้ต้องใช้ความระมัดระวังและเวลานานมากกว่าเดิม

วัดเปียน คือสถานที่แรกที่เราแวะ เนื่องจากสหายครีม ครูแห่งวัดเปียน ได้แนะนำให้เข้าไปพบกับท่านเจ้าอาวาส เพื่อสอบถามข้อมูล ทำให้ทราบข้อมูลของพื้นที่กรุงชิงมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะเรื่องราวตำนานของถ้ำขุนคลัง ซึ่งสามารถสรุปใจความสำคัญได้ดังนี้

“…ที่มาของชื่อถ้ำขุนคลังนั้น เล่ากันว่าเมื่อปี พ.ศ. 2310 สมัยอยุธยาเสียกรุงครั้งที่สอง ทำให้ขุนนางในวังพากันหลบลี้ออกจากเมือง หนึ่งในนั้นคือขุนคลังฤทธิเดช ผู้รับผิดชอบเงินท้องพระคลัง พร้อมพวกพ้อง และธิดาของเจ้าเมือง (ไม่ทราบแน่ชัดว่าคือใคร) หลบหนีลงมาทางใต้ อีกทั้งทรัพย์สินเงินทองมากมาย และได้ใช้ถ้ำแห่งนี้พักอาศัย จนกระทั่งเกิดไข้ห่า ทำให้ทุกคนจบชีวิตลง ส่วนเงินทองได้กล่าวเป็นหินงอกหินย้อย…”

นอกจากนั้นยังได้สนทนาภาษาธรรม และชื่นชมโบราณวัตถุที่ท่านเก็บไว้เป็นอย่างดี ยากแก่บุคคลภายนอกจะได้เห็น แต่คงด้วยชะตาที่ต้องกันจึงทำให้ผมและสหายโกบได้รับโอกาสดี ๆ เช่นนี้

สำหรับพื้นที่ของกรุงชิง (นบพิตำ) มีการค้นพบหลักฐานสมัยก่อนประวัติศาสตร์ และยุคแรกเริ่มประวัติศาสตร์เป็นจำนวนมาก แต่เนื่องด้วยลักษณะพื้นที่ดังกล่าวมีลักษณะเป็นหุบเขาสลับซับซ้อนเต็มไปด้วยป่าไม้และสัตว์ป่านานาชนิด ตลอดจนเส้นทางการคมนาคมในอดีตที่ยากลำบาก อีกทั้งในช่วงหลังถูกใช้เป็นฐานที่มั่นของพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย ก็ยิ่งทำให้พื้นที่ดังกล่าวเข้าถึงยากขึ้นไปอีก ส่งผลให้โบราณวัตถุหลายชิ้นถูกแลกเปลี่ยนซื้อขายออกไปภายนอกจำนวนเยอะ ผนวกกับอาการกลัวกรมศิลปากร ทำให้การสำรวจไม่ค่อยครบถ้วนสมบูรณ์ และปรากฏหลักฐานเชิงประจักษ์น้อยกว่าความเป็นจริงมาก

การสนทนาดำเนินผ่านนานกว่าสองชั่วโมง จึงได้เวลาอันสมควรที่จะขออนุญาตกราบนมัสการลาท่านเจ้าอาวาส เพื่อออกเดินทางต่อไปยังถ้ำขุนคลัง ซึ่งตั้งอยู่ไม่ห่างจากวัดเปียนมากนัก ซึ่งเส้นทางในช่วงแรก ๆ เป็นพื้นถนนคอนกรีตขับสบาย หลังจากนั้นก็ต้องเลี้ยวซ้ายเข้าสู่ถนนลูกรัง มุ่งตรงไปยังเขาขนาดใหญ่อันตั้งอยู่ภายในสวนผลไม้ของชาวบ้านอีกเช่นเคย

ขับรถมาไม่นานก็พบกับปากถ้ำทางด้านทิศใต้ ซึ่งประจวบเหมาะกับสายลมที่พัดโชยกลิ่นมูลค้างคาวออกมาจากถ้ำชวนให้คลื่นไส้เป็นระยะ ๆ แต่นั้นก็ไม่สามารถหยุดยั้งความอยากรู้ของพวกเราทั้งสองคนได้ ผมจึงเร่งชวนสหายโกบเดินทางเข้าไปในถ้ำ ซึ่งมี 2-3 ทางให้เลือก แต่พวกเราตัดสินใจเลือกปากทางเข้าถ้ำด้านซ้าย เนื่องจากมีขนาดใหญ่สุด

เมื่อเดินเข้าไปภายในถ้ำ สามารถมองเห็นแสงสว่างจากปากถ้ำอีกฟากหนึ่ง ภายในมีการปรับพื้นที่และสร้างทางลาดพื้นซีเมนต์ปูกระเบื้องอย่างดี แต่ด้วยความมืดมิดจึงต้องอาศัยแสงสว่างจากไฟฉายช่วยส่องนำทาง ทว่าการเปิดไฟฉายนั้นส่งผลให้ค้างคาวบนผนังใกล้ศีรษะของพวกเราตื่นตกใจ จนบินออกมาหลายสิบตัว และดูเหมือนว่ายิ่งเดินลึกเข้าไปก็ยิ่งไม่แน่ใจกับเส้นทางข้างหน้าว่าจะเจอกับฝูงค้างคาวหรืองูหรือไม่ จึงตัดสินใจเบี่ยงเส้นทางลงมาบนพื้นดินด้านล่าง ซึ่งโล่งและมองเห็นแสงสว่างจากปากถ้ำได้มากกว่า

ภายในถ้ำแห่งนี้ชาวบ้านเล่าว่าเคยพบเศษภาชนะดินเผาเนื้อดิน และเศษกระดูกมนุษย์ที่ได้นำมารวบรวมไว้

เดินไปได้สักครู่ก็ต้องหยุดชะงักอยู่บริเวณพื้นที่ต่างระดับ พวกเราจึงมองหน้ากันก่อนจะตัดสินใจเลี้ยวกลับมาสู่ปากถ้ำเพื่อหาเส้นทางอื่นอ้อมไปเสียดีกว่า

ซึ่งการตัดสินใจครั้งนั้นส่งผลดีต่อซะด้วย เนื่องจากทำให้พบกับเส้นทางน้ำสายเล็ก ๆ ที่ใสจนสามารถมองเห็นพื้นดินและกรวดด้านล่าง ชาวบ้านเรียกกันว่า คลองปง ซึ่งกำลังไหลอ้อมเขาไปอย่างช้า ๆ และไหลเชื่อมต่อกับคลองกลาย ซึ่งเป็นเส้นทางคมนามคมที่มีความสำคัญยิ่งต่อเมืองนครศรีธรรมราช

ด้วยเห็นว่าน้ำตื้นเขินจึงกระโดดลงไปสัมผัสกับความเย็น พร้อมชำระล้างหน้าตากันอย่างสดชื่น จากนั้นจึงใช้สองมือสองเท้าปีนป่ายขึ้นจากลำธาร มุ่งเข้าไปในป่า บนพื้นที่ราบอันกว้างขวางที่เต็มไปด้วยต้นบุก จนกระทั่งพบปากถ้ำอีกทางหนึ่ง และกำลังก้าวย่างเข้าไปในถ้ำแห่งนั้นอีกครั้ง

“ชั๊บๆๆ…” (เสียงดังมาจากด้านหลัง) พวกเราต่างหันกลับไปดูด้วยความสงสัย เสียงนั้นไม่ใช่เสียงอื่นใด หากแต่เป็นเสียงของลุงคนหนึ่งกำลังถากหญ้าด้วยพร้าเล่มเก่า เพื่อเปิดทางซึ่งรกไปด้วยวัชพืชและเถาวัลย์

สืบเท้าเข้ามาจนถึงจุดที่สามารถมองเห็นซึ่งกันและกัน ผมและสหายโกบจึงเริ่มทักทายด้วยการกล่าวคำสวัสดี พร้อมพนมมือไหว้ด้วยความเคารพ แบบไทยๆ ก่อนจะเข้าสู่บทสนทนาถึงข้อคำถามเรื่องถ้ำขุนคลังอีกแห่งที่อยู่ใกล้กัน

ลุงชี้นิ้ว พร้อมเดินนำหน้าไปอย่างมุ่งมั่น ชายหนุ่มสองคนจึงไม่ลังเลที่จะเดินตามไป แต่ในใจก็คิดเพียงว่าแกคงไปชี้จุดบริเวณปากทางเข้าถ้ำให้เท่านั้น

แต่ทว่าเมื่อเดินไปเกือบสองร้อยเมตร ลุงหยุดอยู่กับที่พร้อมตั้งท่าเตรียมไต่ขึ้นไปตามทางอันจะนำเราขึ้นไปสู่ถ้ำด้านบน ซึ่งอยู่สูงจากระดับพื้นดินประมาณ 20 เมตร ตอนนั้นพวกเรารู้สึกตื่นเต้นเป็นอย่างมาก จึงเร่งรีบติดตามไปอย่างใกล้ชิด จนปีนป่ายมาถึงจุดซึ่งเรียกว่าถ้ำ

ภายในถ้ำขุนคลังแห่งนี้มีความงดงามของหินปูนและมนต์เสน่ห์เป็นอย่างมาก อีกทั้งยังมีขนาดใหญ่ ลมพัดโกรกเย็นสบาย และได้รับแสงสว่างอย่างเพียงพอจากปากถ้ำทางทิศตะวันออก เหมาะแก่การตั้งถิ่นฐาน ปลอดภัยจากสัตว์ป่าและน้ำป่าไหลหลาก โดยข้อมูลจากกรมศิลปากรระบุว่าได้พบเศษภาชนะดินเผาเนื้อดินจำนวนหนึ่ง ในบริเวณพื้นที่แห่งนี้

หลังจากชื่นชมบรรยากาศและสำรวจภายในถ้ำเสร็จสิ้น ลุงจึงนำกลับลงมาทางเดิม  และพามาชมถ้ำด้านล่างอีกครั้งหนึ่ง พร้อมให้ข้อมูลน่าสนใจหลายประเด็น ไม่ว่าจะเป็นการค้างศพภายในถ้ำ การเก็บมูลค้างคาว และสิงสาราสัตว์ในพื้นที่โดยรอบ

เมื่อดูเหมือนจะเสร็จสิ้นภารกิจ ลุงจึงขอตัวลาจากไป และด้วยความขอบน้ำใจ พวกเราจึงพนมมือไหว้ พร้อมกล่าวขอบคุณลุงขวยด้วยใจจริง

ดังนั้นเมื่อพิจารณาจากลักษณะที่ตั้งทางภูมิศาสตร์ และหลักฐานทางโบราณคดีที่พบ จึงสันนิษฐานได้ว่าบริเวณถ้ำขุนคลังทั้งสองแห่งเคยเป็นแหล่งที่พักอาศัยถาวรของมนุษย์สมัยก่อนประวัติศาสตร์ ยุคหินใหม่ อย่างแน่นอน อาจมีอายุประมาณ 4,000 – 2,000 ปี โดยพึ่งพาแหล่งน้ำสายสำคัญ คือ คลองปงและคลองกลาย สำหรับการคมนาคม การเกษตรกรรม รวมทั้งติดต่อสัมพันธ์กับมนุษย์ในพื้นที่ของแหล่งโบราณคดีอื่นซึ่งตั้งอยู่ใกล้เคียง ส่วนการดำรงชีวิตยังคงมีการล่าสัตว์และหาผลไม้เหมือนเดิม แต่อาจพัฒนาด้านกสิกรรมขึ้น เนื่องจากมีลักษณะเป็นพื้นที่ราบใกล้แหล่งน้ำเหมาะแก่การปลูกพืชพรรณธรรมชาติเพื่อการดำรงชีพ

 

 

 

 

 

 

 

 

 

ศุขาภิบาลเมืองนครศรีธรรมราช และตำบลตลาดเมืองสงขลา

ศุขาภิบาลเมืองนครศรีธรรมราช และตำบลตลาดเมืองสงขลา

ธีรยุทธ บัวทอง

ศุขาภิบาลเป็นองค์การบริหารส่วนท้องถิ่นรูปแบบหนึ่งที่จัดตั้งขึ้นสำหรับท้องถิ่นที่ยังไม่พร้อมที่จะจัดตั้งเป็นเทศบาล โดยมีนายอำเภอเป็นประธาน กำนันและผู้ใหญ่บ้านเป็นกรรมการ มีรายได้จากการเก็บภาษีโรงเรือนในท้องถิ่นนั้นๆ ศุขาภิบาลแห่งแรกในประเทศไทย คือ ศุขาภิบาลกรุงเทพฯ จัดตั้งเมื่อประมาณปี พ.ศ. 2440 ตามพระราชกำหนดศุขาภิบาลกรุงเทพมหานคร พ.ศ. 2440 หาใช่ศุขาภิบาลท่าฉลอม ตำบลท่าฉลอม เมืองสมุทรสาคร อย่างที่หลายคนเข้าใจไม่ เนื่องจากศุขาภิบาลท่าฉลอมได้จัดตั้งเมื่อปี พ.ศ. 2448 และเป็นเพียงศุขาภิบาลส่วนภูมิภาคเท่านั้น หลังจากนั้นจึงเริ่มกระจายไปยังภูมิภาคอื่น ๆ ตามความเหมาะสม ซึ่งในบทความนี้ขอกล่าวถึงศุขาภิบาล 2 แห่ง ซึ่งตั้งอยู่ในมณฑลนครศรีธรรมราช

 

1.ศุขาภิบาลตำบลตลาดเมืองสงขลา

เมื่อวันที่ 3 สิงหาคม พ.ศ. 2452 พระยาชลบุรานุรักษ์ ข้าหลวงเทศาภิบาลมณฑลนครศรีธรรมราช ได้มีใบบอกเข้ามายังกระทรวงมหาดไทยระบุว่าเมืองสงขลานั้นเป็นสถานที่ตั้งของย่านการค้า และบ้านเรือนของราษฎรจำนวนมาก สมควรแก่การจัดตั้งเป็นศุขาภิบาลตามพระราชบัญญัติศุขาภิบาล แต่ควรเริ่มจัดตั้งในบริเวณตำบลตลาดเสียก่อน ดังนั้นจึงได้เรียกประชุมกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน และคฤหบดีในตำบลตลาดมาปรึกษาร่วมกัน จากนั้นจึงได้กำหนดเขตสุขาภิบาลดังนี้คือ

ด้านตะวันตกของถนนนคร ถนนวิเชียรชม ต่อจากถนนพัทลุงไปจรดถนนไทรบุรีที่ป่าสน ยาวประมาณ 44 เส้น 18 วา กับถนนริมน้ำเคียงถนนนคร ยาวประมาณ 16 เส้น

ด้านเหนือถนนไทรบุรีจากฝั่งทะเลสาบริมโรงตำรวจภูธรไปตามป่าสนผ่านหน้าสงขลาสโมสร เลี้ยวไปทางตะวันออกผ่านบ้านข้าราชการไปจรดประตูไชยใต้ ยาวประมาณ 83 เส้น 12 วา

ด้านใต้ถนนพัทลุงจากถนนไทรบุรีผ่านถนนจนถึงฝั่งทะเลสาบ ยาวประมาณ 5 เส้น 5 วา ระหว่างถนนไทรบุรีด้านเหนือถึงถนนพัทลุงด้านใต้ มีถนนซอยอีก 3 สาย คือ ถนนตรังกานู ยาวประมาณ 12 เส้น ถนนนกลันตัน ยาวประมาณ 13 เส้น และถนนบ้านใหม่ ยาวประมาณ 5เส้น รวมทั้งสิ้นยาวประมาณ 30 เส้น

 

2.ศุขาภิบาลเมืองนครศรีธรรมราช

เมื่อวันที่ 13 สิงหาคม พ.ศ. 2453 สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอฯ กรมหลวงลพบุรีราเมศวร์ ข้าหลวงเทศาภิบาลมณฑลนครศรีธรรมราช ได้มีใบบอกเข้ามายังกระทรวงมหาดไทยระบุว่า เมืองนครศรีธรรมราชนั้นเป็นที่ตั้งของย่านการค้า และบ้านเรือนราษฎรจำนวนมาก สมควรแก่การจัดตั้งเป็นศุขาภิบาล

โดยเริ่มจากตำบลท่าวัง ตำบลคลัง ตำบลประตูไชยเหนือและตำบลพระเสื้อเมืองก่อน ดังนั้นจึงรับสั่งให้พระยาศิริธรรมบริรักษ์ ผู้ว่าราชการเมืองนครศรีธรรมราช เรียกประชุมกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน และคฤหบดีทั้ง 4 ตำบลมาปรึกษาหารือร่วมกัน จากนั้นจึงได้กำหนดเขตศุขาภิบาลดังนี้คือ ด้านเหนือ จรดถนนซอยริมกำแพงด้านใต้ของวัดประดู่ ไปจนถึงคลองไปท่าแพและทุ่งนาฝ่ายตะวันออกกว้างประมาณ 15 เส้น ด้านใต้ จรดกำแพงเมืองด้านใต้จนถึงคลองบ้านหัวท่า และมุมกำแพงตะวันออก กว้างประมาณ 13 เส้น 14 วา ด้านตะวันออก จรดกำแพงเมืองและทุ่งนาหยาม ยาวประมาณ 110 เส้น 18 วา และด้านตะวันตก จรดคลองท่าดีฝั่งตะวันตกยาวประมาณ 107 เส้น 15 วา

ต่อมาเมื่อวันที่ 24 มีนาคม พ.ศ. 2474 ได้มีการปรับปรุงเขตศุขาภิบาลเมืองนครใหม่ เพื่อความเป็นระบบและชัดเจนยิ่งขึ้น ดังนี้คือ

ด้านเหนือ ตั้งแต่หลักเขตหมายเลขที่ 1 ซึ่งตั้งอยู่ริมคลองเตยฝั่งตะวันตก เป็นเส้นขนานจากริมถนนวัดมะขามชุมฟากเหนือตรงไปตัดกับริมคลองที่นั้น และเลียบริมถนนวัดมะขามชุมฟากเหนือกับริมถนน ซอยฟากเหนือ ซึ่งตรงข้ามกับถนนวัดมะขามชุมไปทางทิศตะวันออกโดยวัดจากปากถนนซอยนี้ออกไปประมาณ 450 เมตร จนจรดหลักเขตหมายเลขที่ 2

ด้านตะวันออก ตั้งแต่หลักเขตหมายเลขที่ 2 เป็นเส้นตรงไปทางทิศใต้ จนจรดหลักเขตหมายเลขที่ 3 บริเวณริมคลองหน้าเมืองฝั่งใต้ห่างจากมุมตะวันออกเฉียงเหนือของกำแพงเมืองไปทางทิศตะวันออก ประมาณ 250 เมตร จรดริมคลอง จากหลักเขตหมายเลขที่ 3 เป็นเส้นตรงไปทางทิศใต้จรดหลักเขตหมายเลขที่ 4 บริเวณมุมกำแพงเมืองด้านทิศตะวันออกเฉียงใต้

ด้านใต้ ตั้งแต่หลักเขตหมายเลขที่ 4 เลียบริมกำแพงเมืองด้านทิศใต้ไปทางทิศตะวันตก จากแนวกำแพงออกไปถึงคลองท่าดีฝั่งตะวันตกจรดหลักเขตหมายเลขที่ 5

ด้านตะวันตก ตั้งแต่หลักเขตหมายเลขที่ 5 เลียบคลองท่าดี คลองท้ายวัง คลองทุ่งปรัง และคลองเตยฝั่งตะวันตกไปทางเหนือจนกระทั่งบรรจบกับหลักเขตหมายเลขที่ 1

เพราะฉะนั้นจะเห็นได้ว่าศุขาภิบาลในระยะเริ่มแรกในมณฑลนครศรีธรรมราชมีการกำหนดอาณาเขตเพื่อบริหารจัดการอย่างชัดเจน แม้ว่าบางพื้นที่อาจถูกเปลี่ยนชื่อหรือถูกทำให้ลบเลือนไปแล้วก็ตาม แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าการจัดตั้งศุขาภิบาลเมืองสงขลาและเมืองนครฯให้พร้อมในอดีตเพื่อรองรับการปรับเปลี่ยนมาเป็นเทศบาล ซึ่งถือว่าเป็นรูปแบบหนึ่งของการปกครองส่วนท้องถิ่นตามหลักการกระจายอำนาจ ยังผลให้บ้านเมืองพัฒนาก้าวไปข้างหน้าอย่างต่อเนื่อง เพื่อประโยชน์สุขของประชาชนอย่างทั่วถึง

 

อ้างอิง

ธีรยุทธ บัวทอง. มณฑลนครศรีธรรมราช เกร็ดประวัติศาสตร์ในราชกิจจานุเบกษา. นครศรีธรรมราช: เสือฟิน         การพิมพ์. 2561, 184.

ประกาศใช้พระราชบัญญัติศุขาภิบาลตำบลท่าวัง ตำบลคลัง ตำบลประตูไชยเหนือ ตำบลพระเสื้อเมือง

ท้องที่อำเภอเมือง ๆ นครศรีธรรมราช. ราชกิจจานุเบกษา เล่ม 27 วันที่ 4 กันยายน ร.ศ. 129,

หน้า 62 – 64.

ประกาศใช้พระราชบัญญัติศุขาภิบาลในตำบลตลาดเมืองสงขลามณฑลนครศรีธรรมราช. ราชกิจจานุเบกษา           เล่ม 26 วันที่ 5 กันยายน ร.ศ. 128, หน้า 62 – 64.

____

ขอบพระคุณภาพจาก https://www.gotonakhon.com

เคยเล่นหม้าย ? การเล่น: รวมเรื่องเล่าเมื่อครั้งฉันยังเด็ก

เมื่อเราเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่ต้องเผชิญกับเรื่องราวนานาสารพัน ทั้งดีและร้าย เราทุกคนต่างล้วนย้อนกลับไปนึกถึงภาพในวัยเด็กอันแสนสุข (และแสนเศร้า) บ้างก็นำมาเปรียบเทียบความแตกต่างระหว่างยุคสมัย หากย้อนกลับไปเมื่อ 10 กว่าปีที่ผ่านมา ช่วงที่สื่อเทคโนโลยียังไม่ได้ส่งถึงมือเด็ก ไม่มี Social Media ไม่มีความห่างไกลที่เกิดจากเทคโนโลยี มีเพียงการเล่นรูปแบบต่างๆ ที่ทำให้ช่วงชีวิตในหมู่เพื่อนไม่เคยห่างการเล่นที่ต้องใช้ไหวพริบปฏิภาณ การเล่นที่ต้องใช้ความคิดสร้างสรรค์การเล่นที่เสี่ยงอันตราย การเล่นที่ส่อถึงอบายมุข ซึ่งทุกการเล่นมันมีนัยสำคัญที่ซ่อนเร้นและมีส่วนหล่อหลอมให้เราเติบโตมาเป็นผู้ใหญ่ที่แตกต่างกัน ซึ่งตัวอย่างการเล่นที่เป็นที่นิยมของเด็กกึ่งเมืองกึ่งชนบทอย่างเช่นผู้เขียน เช่น

(1) เข้หยบ หรือที่ภาษากลางเรียกกันว่า “ซ่อนแอบ” เป็นการเล่นยอดฮิตในบรรดาเด็ก ๆ แทบทุกพื้นที่ สามารถเล่นได้ตั้งแต่สองคนขึ้นไป ยิ่งเยอะคนยิ่งสนุก รวมทั้งสามารถเล่นได้แทบจะทุกสถานที่ก็ว่าได้

(2) เข้ยิก หรือที่ภาษากลางเรียกกันว่า “วิ่งไล่จับ” เป็นการเล่นยอดฮิตในบรรดาเด็กๆแทบทุกพื้นที่ แต่จำต้องกำหนดขอบเขตพื้นที่ในการวิ่งสักหน่อยว่ามีขนาดกว้างเพียงใด

(3) ซัดมอ เป็นการเล่นซึ่งต้องอาศัยอุปกรณ์สองอย่าง คือ ลูกเทนนิส และกระป๋องนม (ยี่ห้อใดก็ได้)จากนั้นให้แบ่งออกเป็นสองฝ่าย ฝ่ายละเท่า ๆ กัน โดยฝ่ายหนึ่งต้องเป็นฝ่ายวิ่ง (ฝ่ายเรียง) และอีกฝ่ายต้องเป็นฝ่ายซัด (ฝ่ายทำลาย) จากนั้นฝ่ายซัดต้องส่งตัวแทนมาจัดเรียงกระป๋องนม ให้ลดหลั่นกันไป โดยชั้นล่างจะต้องมีกระป๋องนมเยอะที่สุด ชั้นถัดไปมีจำนวนลดลงอย่างน้อยหนึ่งกระป๋อง เมื่อจัดเรียงเสร็จแล้ว ให้ส่งตัวแทนออกมาซัดกระป๋องนมให้ล้ม เพื่อส่งสัญญาณเริ่มเกมที่แท้จริง ฝ่ายวิ่งต้องหาวิธีเข้ามาเรียงกระป๋องนมให้มี ลักษณะเหมือนเดิมให้ได้ เมื่อเรียงเสร็จให้พูดคำว่า “มอ” ก็จะกลายเป็นผู้ชนะ

(4) นาฬิกาเข้าแล้วเป็นการเล่นชนิดหนึ่ง ไม่ทราบว่าชื่อจริง ๆของมันเรียกว่าอย่างไร แต่ผมและเพื่อน ๆ มักเรียกกันว่า “นาฬิกาเข้าแล้ว” ตามคำพูดที่ต้องใช้เมื่อเวลาเล่น วัสดุอุปกรณ์ในการเล่น ประกอบไปด้วยสายเชือก และวัสดุถ่วงน้ำหนัก เช่น ขวดพลาสติกใส่น้ำหรือทราย ท่อนไม้ ก้อนหิน เป็นต้น เมื่อได้วัสดุทั้งสองพร้อมแล้ว ให้นำปลายเชือกข้างหนึ่งมาผูกติดไว้กับวัสดุถ่วงน้ำหนัก

จากนั้นให้เลือกคนแกว่งเชือกมาคนหนึ่ง ที่เหลือเป็นผู้เล่น เกมจะเริ่มขึ้นก็ต่อเมื่อคนแกว่งทำการแกว่งเชือกและร้องตะโกนว่า “นาฬิกาเข้าแล้ว”เพื่อส่งสัญญาณให้ผู้เลนวิ่งเข้ามาภายในบริเวณศูนย์กลางของเชือก และเมื่อผู้เล่นเข้ามาครบทุกคน คนแกว่งต้องร้องตะโกนอีกครั้งว่า “นาฬิกาออกแล้ว” เพื่อส่งสัญญาณให้ผู้เล่นวิ่งออกจากวง หากผู้เล่นคนใดวิ่งเข้า-ออก แล้วโดนเชือกหรือวัสดุถ่วงน้ำหนักปะทะกับส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกาย จะกลายเป็นผู้แพ้และต้องมาเป็นคนแกว่งแทน

(5) ปลาเป็นปลาตาย มีลักษณะการเล่นที่คล้ายกับโพงพาง แต่ตอนเด็กผมไม่รู้หรอกว่าโพงพางคืออะไร มีแต่จะเล่นปลาเป็นปลาตายตามประสาเด็กบ้าน ๆ กึ่งเมืองกึ่งชนบท กติกาการเล่นมีอยู่ว่า ให้ผู้เล่นกำหนดเขตพื้นที่ที่ใช้สำหรับเล่นตามความเหมาะสม หากคนน้อยพื้นที่จะแคบ แต่หากคนเยอะพื้นที่ก็จะกว้างขึ้น จากนั้นให้ทำการคว่ำหมาย เพื่อหาคนที่ต้องถูกปิดตา เมื่อได้คนที่ถูกปิดตาเรียบร้อยแล้ว ผู้เล่นที่เหลือต้องช่วยกันนำผ้ามาปิดตาคน ๆ นั้นเอาไว้ ต่อจากนั้นให้ช่วยกันหมุนตัวของผู้ที่ถูกปิดตา ประมาณ 5-10 ครั้ง และร้องพร้อมกันว่า “ปลาเป็น ปลาตาย ปลาร้องไห้ หรือปลาหัวเราะ”

เมื่อร้องเสร็จ ผู้เล่นแต่ละคนจะต้องรีบวิ่งออกไปให้ห่างที่สุด ก่อนคำสั่งของผู้ที่ถูกปิดตาจะเอ่ยออกมา (อย่างใดอย่างหนึ่ง) ซึ่งความหมายของคำทั้ง 4 คือ ปลาเป็น = ผู้เล่นสามารถเดินได้แต่ต้องอยู่ภายในขอบเขตที่กำหนดไว้ ปลาตาย = ให้ผู้เล่นหยุดอยู่กับที่ ปลาร้องไห้ = ให้ผู้เล่นหยุดอยู่กับที่และส่งเสียงร้องไห้ และปลาหัวเราะ = ให้ผู้เล่นหยุดอยู่กับที่และส่งเสียงหัวเราะ หลังจากนั้นผู้ที่ถูกปิดตาต้องเดินไปรอบ ๆ วง โดยใช้มือในการไขว่คว้า ลูบคลำร่างกายคน ๆ นั้นและทายชื่อว่าเป็นใคร หากทายถูกต้อง คน ๆ นั้นจะกลายมาเป็นผู้ถูกปิดตาแทน แต่หากทายผิดจะต้องเป็นซ้ำอีกรอบ

นอกจากนี้ยังมีการเล่นอื่น ๆ อีกมากมายไม่ว่าจะเป็นกระโดดยาง ปางนูซัดลิง ทอยเส้น ซัดดินน้ำมัน เป็นต้น ซึ่งการเล่นทั้งหลายล้วนมีส่วนเสริมสร้างประสบการณ์ชีวิต กระชับความสัมพันธ์กับหมู่เพื่อน และพัฒนาสติปัญญาทั้งทางตรงและทางอ้อมได้เป็นอย่างดี หากเราลองเฝ้านั่งคิดทบทวนหวนถึงอดีต และรื้อฟืนเรื่องราวความทรงจำผ่านการเล่น ก็จะทำให้เกิดความคงอยู่ของความสุขในวัยเด็กและกลายเป็นความทรงจำระยะยาวในอนาคต

ถ่านลาน : วิธีแห่งคนสู้ชีวิต อาชีพท้องถิ่นอำเภอทุ่งใหญ่ จังหวัดนครศรีธรรมราช

“เรียนจบกลับไปทำงาน ขุดดินเผาถ่าน อยู่เมืองกาญจน์บ้านเรา… บอกกล่าวให้เขารู้กัน อาชีพผมนั้น ทุกวันเผาถ่าน…” นี่คือเนื้อเพลงคนเผาถ่าน ต้นฉบับขับร้องโดยมนต์รัก ขวัญโพธิ์ไทย ที่ใครหลายคนคงเคยได้ยินและได้ฟัง สะท้อนให้เห็นถึงอาชีพเผาถ่านของผู้คนเมืองกาญจนบุรี และในพื้นที่อื่น ๆ ของสังคมไทย อันเป็นอาชีพที่มีมาตั้งแต่ดั้งแต่เดิม

เมื่อมนุษย์เริ่มรู้จักการใช้ไฟในสมัยก่อนประวัติศาสตร์ การนำไม้หรือเศษวัสดุมาเป็นเชื้อเพลิงจึงได้รับความนิยม แต่ทว่าเมื่อกาลเวลาผ่านไปหลายพันปี มนุษย์เริ่มมีวิวัฒนาการทางความคิดในการกักเก็บความร้อนและลดปัญหาเขม่าควันดำ ซึ่งเกิดจากการเผาไหม้ของเศษไม้ จึงคิดค้นกรรมวิธีมาอย่างต่อเนื่อง จนกระทั่งออกมาในรูปแบบของถ่านที่ผู้อ่านหลายท่านเคยใช้ในกิจกรรมอย่างใดอย่างหนึ่ง ไม่ว่าจะเป็นถ่านเชื้อเพลิงในการประกอบอาหาร ดูดซับคลอรีน ฟอกอากาศ และปรับสภาพดิน เป็นต้น ฉะนั้นวันนี้ผู้เขียนจึงขอนำทุกท่านมาทำความรู้จักกับอาชีพเผาถ่านลานแห่งอำเภอทุ่งใหญ่ จังหวัดนครศรีธรรมราชกัน

แต่เอ๊ะ ! ถ่านลาน คืออะไร ? ถ่านลาน คือ กรรมวิธีการเผาถ่านรูปแบบหนึ่ง ซึ่งไม่ได้ใช้เตาในการเผา มีเพียงพื้นที่ลาน

ขั้นตอนที่ 1 จัดเตรียมพื้นที่ให้มีลักษณะโล่งเตียน (ขนาดตามความต้องการ)

ขั้นตอนที่ 2 จัดเตรียมไม้สำหรับการเผา ซึ่งไม้ที่นิยมนำมาใช้มี 2 ประเภท คือ หัวไม้(เบญจพรรณ) ราคาถูก และไม้ปลีก (ไม้ยางพารา) จากโรงงานแถบบ้านทานพอ ตำบลไม้เรียง อำเภอฉวาง และบ้านหนองดี ตำบลทุ่งสง อำเภอนาบอน จังหวัดนครศรีธรรมราช

เมื่อได้ไม้มาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ก็นำมาจัดเรียงทับซ้อนกัน ขนาดกว้างคูณยาวตามต้องการ

แต่สำหรับพื้นไม้แถวด้านล่างสุด ต้องนำเศษไม้มารองรับให้ห่างจากพื้นดิน เพื่อเพิ่มช่องระบายอากาศ

ขั้นตอนที่ 3 เมื่อจัดเรียงไม้ทับซ้อนกันเสร็จ ให้นำทางมะพร้าวหรือทางปาล์ม มาทับด้านบน จากนั้นนำขี้เลื่อย และขี้เถ้ามากลบรอบกองฟืนที่เตรียมไว้ตามลำดับ โดยระหว่างที่กลบนั้นต้องนำแผ่นไม้มากั้นทั้งสี่ด้าน และต้องคอยอัดเศษขี้เลื่อยขี้เถาลงไป เพื่อป้องกันการลุกลามของไฟมายังผนังไม้กั้น ซึ่งอาจก่อให้เกิดความเสียหายตามมา

ขั้นตอนที่ 4 เจาะขี้เลื่อยขี้เถาที่กลบไว้ด้านใดด้านหนึ่งให้มีขนาดประมาณ 30 x 30 (หรือมากน้อยกว่านี้ตามความเหมาะสม) จากนั้นนำยางมาจุดเป็นเชื้อนำไฟ ก่อนจะกลบขี้เลื่อยขี้เถาลงไป พร้อมทั้งเจาะช่องระบายอากาศไว้ด้านล่าง และรอเวลาให้ไฟค่อย ๆ ลุกลามไปทั่วทั้งกองฟืน

ขั้นตอนที่ 5 ระหว่างที่ไฟค่อย ๆ ลุกลาม คนทำแต่ละคนต้องหมั่นตรวจสอบสีของควันอยู่เสมอ หากควันสีขาวหมายความว่า ปกติ แต่หากควันสีเขียว (หรือสีเหลือง) เมื่อไหร่จำต้องเร่งนำขี้เถาไปกลบและฉีดน้ำด้านบนให้ชื้น เพื่อลดความร้อนภายในอันจะส่งผลให้ถ่านแหลกกลายเป็นผุยผง

จะรู้ได้อย่างไรว่ากองฟืนด้านในถูกเผาไหม้กลายเป็นถ่านตามที่ต้องการ ?

ให้สังเกตจากการยุบของกองถ่านด้านบน ซึ่งต้องอาศัยประสบการณ์และความชำนาญเป็นอย่างมาก

ขั้นตอนที่ 6 เมื่อไฟลุกลามไปทั่วทั้งกองฟืนและปราศจากควันไฟ นั่นแสดงให้เห็นว่าไม้ด้านล่างกลายเป็นถ่านเกือบร้อยเปอร์เซ็นต์ คนทำต้องนำสายยางอัดลงไปจากด้านบนสู่ด้านล่าง เพื่อฉีดน้ำดับความร้อน จากนั้นพักไว้ประมาณ 1-2 วัน ก็ให้ยกเครื่องร่อนมาตั้งไว้ใกล้ ๆ โดยในอดีตใช้วิธีการร่อนแบบเดียวกับการร่อนแร่ แต่ในปัจจุบันได้มีการคิดค้นเครื่องร่อนถ่านขึ้นมา เพื่อประหยัดเวลาและใช้เป็นเครื่องทุ่นแรงได้ดีทีเดียว

เครื่องร่อนถ่านมีขนาดยาวประมาณ 3.60 เมตร กว้างประมาณ 1 เมตร สูงจากพื้นดินประมาณ 1 เมตร มีความลาดชันเล็กน้อย เพื่อง่ายต่อการเคลื่อนย้ายถ่านลงไปสู่ตะกร้า โดยชั้นบนสุดจะมีขนาดของช่องตาข่าย ประมาณ 2.5 ซ.ม. x 1.3 ซ.ม. ส่วนชั้นที่สองจะมีขนาดของช่องตาข่าย ประมาณ 0.5 ซ.ม. x 0.5 ซ.ม.

ขั้นตอนการร่อน เริ่มต้นจากการเปิดเครื่อง ซึ่งใช้ระบบกลไกมอเตอร์อย่างง่าย จากนั้นนำถ่านมาเทไว้ด้านบนของ เครื่องร่อนเพื่อทำการแยกขนาดของถ่าน ซึ่งถ่านที่มีขนาดใหญ่จะตกตะกอนอยู่ด้านบน ส่วนผงถ่านที่มีขนาดเล็กจะตกลงมาสู่ด้านล่าง

โดยขนาดของถ่านที่สามารถนำมาจำหน่ายได้ คือ ถ่านชั้นที่ 1 และชั้นที่ 2 ซึ่งจะไหลลงมาสู่ตะกร้าด้านล่าง

ส่วนเศษถ่านชั้นล่างสุด สามารถนำมาจำหน่ายได้เช่นกันแต่ราคาจะถูกมาก รวมทั้งยังใช้เป็นเชื้อเพลิงในการเผาถ่านลานครั้งต่อไปได้อีกด้วย

หากรวมระยะเวลาตั้งแต่การจัดเตรียมไม้จนกระทั่งถึงกระบวนการร่อนถ่าน ต้องใช้เวลาไม่ต่ำกว่า 1 สัปดาห์ ทำให้การเผาถ่านลานจำเป็นต้องใช้ระบบหมุนเวียน กล่าวคือ ต้องทำมากกว่าหนึ่งกองฟืน จึงจะทำให้ประหยัดเวลาและคุ้มค่าต่อการลงทุน แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นขึ้นอยู่กับจำนวนของแรงงาน ปริมาณของไม้ และสภาพดินฟ้าอากาศ

เนื่องจากอาชีพเผาถ่านลานต้องทุ่มเทแรงกายแรงใจในการเฝ้าคอยดูแล หากเร่งความร้อนมากจนเกินไปจะทำให้ถ่านกลายเป็นผงละเอียดจำหน่ายไม่ได้ราคา แต่หากเร่งรีบเสียก่อนก็จะทำให้การเผาไหม้ไม่เต็มร้อย ก่อให้เกิดการขาดทุน คนทำงานเผาถ่านลานจึงต้องทนอดหลับอดนอนในยามค่ำคืนเพื่อตรวจตราดูควันไฟ และต้องทนแดดแผดเผาในยามกลางวัน ผนวกกับสภาพเศรษฐกิจในยุคปัจจุบันที่ย่ำแย่ ต้นทุนสูง โดยเฉพาะไม้มีราคาแพง แต่ราคาถ่านปรับขึ้นได้เพียงอัตราร้อยละ 6.5

ซึ่งราคาถ่านจะคิดเป็นกระสอบ ๆ ละ 320 บาท (บางแห่งราคาสูงถึง 400 บาท) ส่วนเศษผงถ่านจะอยู่ที่กระสอบละ 60 บาท โดยจะมีบริษัทจากกรุงเทพฯ ประมาณ 3-4 บริษัทมารับผลผลิตอยู่เสมอ เฉลี่ยไม่ต่ำกว่า 100 กระสอบต่อสัปดาห์

ค่าจ้างของลูกน้อง ขึ้นอยู่กับการทำงาน และได้รับค่าตอบแทนในอัตรากระสอบละ 60 บาท (หากทำคนเดียวตั้งแต่จัดเตรียมและร่อนถ่าน) หากมีความขยันขันแข็งก็สามารถเผาถ่านได้หลายกระสอบต่อสัปดาห์

ดังนั้นหากคำนวณความคุ้มค่าของการลงทุนของนายจ้างและการลงแรงของลูกจ้าง ก็ถือว่าอยู่ในระดับ “พอเลี้ยงชีพ” ไม่ขาดทุนหรือได้กำไรมากนัก แม้จะเป็นอาชีพที่ตั้งอยู่บนความเสี่ยงหลายประการ และพบเห็นได้ยากในสังคมปัจจุบัน แต่อย่างน้อยก็เป็นอาชีพหนึ่งที่มีเอกลักษณ์เฉพาะ และยังคงมองเห็นถึงความสุขใจจากรอยยิ้มของคนทำงานเผาถ่านลานอยู่เสมอ

สุดท้ายนี้ผู้เขียนต้องขอขอบพระคุณพี่มร ลุงคม และพี่ ๆ คนเผาถ่านลานทุกคนสำหรับข้อมูลและน้ำใจที่มีให้แก่กัน ขอขอบพระคุณด้วยใจสัตย์จริงครับ !